ในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นการครบรอบ 20 ปีของ SC Asset มีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 27,945 ล้านบาท ดังนั้นการแถลงทิศทางสำหรับปี 2567 นั้นจึงเป็นการย้ำถึงก้าวต่อไปในทศวรรษที่ 3 ซึ่งได้วางเป้าหมายต่อจากนี้ว่า ภายใน 5 ปีต้องมีรายได้รวม 150,000 ล้านบาทด้วยกัน
“ในปีแรกหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เรามีรายได้ 700 ล้านบาท ถัดมาอีก 10 ปีเรามีรายได้เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท ดังนั้นในทศวรรษที่ 3 นี้เราจึงต้องเข้าสู่การวิวัฒนาการตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อทำให้รายได้แตะหลักแสนล้าน” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- SC Asset มองแบรนด์แข็งแกร่งที่จะขึ้นไปเล่นในตลาด Ultimate Luxury ส่งบ้านเดี่ยว ‘95E1’ เริ่มที่ 100 ล้านบาท เป็นราคาเริ่มต้นสูงสุดที่เคยเปิดขายมา
- SC Asset จะใช้เงิน 1.2 พันล้านซื้อที่ดิน 22 แปลงบริเวณถนนลาดหญ้าจากตระกูลชินวัตร พร้อมเดินหน้าซื้ออพาร์ตเมนต์ให้เช่าในสหรัฐฯ ด้วย
- SC Asset มองธุรกิจอสังหาต้องเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง ชี้เศรษฐกิจยังคงท้าทาย ‘3 สูง 1 ต่ำ’ ดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อสูง ภาระหนี้สูง แต่อัตราการเติบโตต่ำ
เบื้องต้นการเดินทางสู่ทศวรรษที่ 3 นั้นได้วางแผนทิศทางธุรกิจ 5 ปี (2567-2571) บนความหลากหลาย ได้แก่
- มหาศาล: สร้างรายได้รวม (Portfolio Revenue) รวม 5 ปี (2567-2571) จากหลากหลายธุรกิจมากกว่า 150,000 ล้านบาท
- มั่นคง: ลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน D/E น้อยกว่า 1.5
- สมดุล: ส่วนผสมกำไรจากธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Engine 2) มากกว่า 25% จากปัจจุบันที่มีตัวเลขอยู่ราว 15% ด้วยกัน
สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจ ปี 2567 นั้นได้ตั้งเป้ายอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 65% แนวสูง 35% และรายได้รวม 26,500 ล้านบาท จากธุรกิจหลากหลายทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายแนวราบ-แนวสูง (Engine 1) และธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Engine 2)
โดยมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 25,000 ล้านบาทในหลากหลายธุรกิจ เช่น ที่อยู่อาศัย คลังสินค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยมีจำนวนโครงการรวมทุกธุรกิจมากถึง 103 โครงการ
SC Asset ได้แบ่งเครื่องยนต์สำหรับขับเคลื่อนธุรกิจไว้ 2 ตัวด้วยกัน ได้แก่ ‘Engine 1 – ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย’ โดยจะมีโครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่ารวม 91,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
- โครงการใหม่ แนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์แบรนด์ใหม่ชื่อ Connoisseur (คอนนาเซอร์) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ #SCบ้านIntrovert และ #SCบ้านExtrovert
- โครงการใหม่ แนวสูง 2 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Reference
สิ่งที่น่าสนใจคือ การทำบ้าน Introvert และ Extrovert ที่จะขายในราคา 8-12 ล้านบาท มาจากความคิดที่ว่า ‘ยุคที่ผู้บริโภคมีความสนใจที่แตกต่างกัน การใช้ One Size Fit All จึงไม่ได้ผลอีกแล้ว SC Asset จึงต้องหยิบ One Size Doesn’t Fit All มาแทน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเราจะพบว่ากลุ่มคนที่เป็น Introvert และ Extrovert นั้นมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมือนกัน
ส่วน Engine 2 – ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอรวมจำนวนทั้งสิ้น 17 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ แบ่งเป็น
- อาคารสำนักงานให้เช่า – มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตารางเมตร จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร
- โรงแรม – มีจำนวนห้องพักรวม 545 Keys จากโรงแรม 3 โครงการ โดยเปิดแล้วที่ YANH ราชวัตร 78 Keys กำลังจะเปิดปลายปีนี้ Kromo (ครอโม) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย Curio Collection by Hilton 306 Keys และเปิดต้นปีหน้า ทำเลพัทยา 161 Keys ซึ่งคาดว่าจะอยู่ภายใต้แบรนด์ The Standard ซึ่งปัจจุบันมี 2 แห่ง คือ ที่กรุงเทพฯ และหัวหิน
- คลังสินค้า – มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตารางเมตร จากคลังสินค้ารวม 4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสวรรค์ 16,000 ตารางเมตร กำลังจะเปิดในปีนี้และปีหน้าอีก 144,000 ตารางเมตร ใน 3 ทำเล บางนา กม.20, บางนา กม.22 และแหลมฉบัง อีกยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจ เอเชีย บุกตลาด Self Storage ภายใต้แบรนด์ i-Store
- อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา – มีห้องพักรวม 78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน ซึ่งที่ผ่านมาได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้ไปแล้วราว 80% คาดว่าในอีก1-2 ปีข้างหน้าจะทยอยลงทุนได้ครบ
สำหรับในปี 2567 แม่ทัพ SC Asset มองว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 จะมีความคล้ายคลึงกับปี 2566 จากการที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะคลี่คลายในช่วงครึ่งปีหลัง, การกลับมาของกำลังซื้อจากต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียม และการปรับตัวของผู้เล่นในตลาด โดยบริษัทขนาดใหญ่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น โดยมีการทำตลาดให้กับโครงการที่มีอยู่และควบคุมการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ ในขณะที่ผู้พัฒนาขนาดกลางและเล็กลดลงในตลาด
