หัวหินเป็นเมืองที่เหมาะสมในการเปิดตัวรีสอร์ตติดชายทะเล เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวของเมืองชายทะเลอย่างหัวหินมีแนวโน้มสดใสเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทย เพราะพึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลักถึง 70% และปัจจุบันมีอัตราเข้าพักสูงกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง พัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ อย่างชัดเจน
โดยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์แนวโน้มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยระบุว่า 5 เดือนจากนี้ (พฤศจิกายน 2564 – มีนาคม 2565) ซึ่งตรงกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซัน จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000 บาทต่อคน
ด้านนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่าร้อยละ 44 โดยเฉพาะกลุ่มคนกรุงเทพฯ มีการวางแผนการเดินทางในช่วงปลายปี 2564 โดยคาดการณ์ว่าที่พักประเภทรีสอร์ตที่มีความเป็นส่วนตัวในเมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ จะได้รับความนิยมสูงสุด
ทำให้ ‘แสนสิริ’ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเชนโรงแรม Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) ด้วยสัดสัดส่วนกว่า 62% ตัดสินใจลงทุนกว่า 800 ล้านบาทในการสร้างโรงแรม The Standard, Hua Hin โรงแรมแห่งแรกในไทยและรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้แบรนด์ The Standard
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เล่าว่า ที่ดินผืนนี้ได้มาตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อน โดยเป็นที่ดินแบบลีสโฮลด์ขนาด 15 ไร่ ระยะสัญญาเช่า 30 ปี ซึ่งเจ้าของที่ดินคือตระกูลกฤดากร ที่ต้องการผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยต้องรักษาต้นไม้ใหญ่ทุกต้นและรักษาบ้านโบราณไว้ด้วย
“ตอนแรกเราจะทำเป็นคอนโดมิเนียม แต่ที่สุดแล้วเราตัดสินใจที่จะสร้างเป็นโรงแรมซึ่งเหมาะสมกว่า ที่จะทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุดแทน”
The Standard, Hua Hin มีจุดเด่นเด่นในฐานะรีสอร์ตสุดฮิปติดชายหาดที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ ผ่านแฟชั่น รสนิยม ความล้ำสมัย พร้อมกิจกรรมไลฟ์สไตล์ฉีกมาตรฐานโรงแรมที่เคยรู้จักให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวได้สัมผัส
โดยแรงแรมแห่งนี้ประกอบด้วยห้องพัก 199 ห้อง ราคา 5,000-30,000 บาทต่อคืน โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 บาท ซึ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 1 ธันวาคม 2564 คาดว่า อัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 40% ภายในปี 2564 และเพิ่มเป็น 60% ภายในปี 2565
ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้แสนสิริจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Standard International ซึ่งภายในปี 2024 จะมาเพิ่มขึ้นอีก 12 แห่ง ที่มีทั้งอเมริกา เอเชีย และยุโรป รวมเป็น 20 กว่าแห่งทั่วโลก แต่ The Standard, Hua Hin ถือเป็นโรงแรมแห่งเดียวที่แสนสิริจะลงทุนเองเพราะ “โรงแรมใช้เวลาคืนทุนนาน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15-16 ปี แต่สำหรับ The Standard, Hua Hin คาดว่าจะใช้เวลา 10 ปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ดินเป็นแบบลีสโฮลด์” อุทัยกล่าว
ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการกล่าวต่อว่า ต่อไปแสนสิริจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้สนใจลงทุนในธุรกิจโรงแรมกับ Standard International ให้มาเจอกัน และแม้ว่าจะมีโรงแรมจำนวนมากที่สนใจเข้ามาเสนอขายให้กับแสนสิริ “แต่กว่า 80% เรายังไม่สนใจที่จะซื้อ ส่วนอีก 20% นั้นต้องดูก่อนว่าเหมาะสมไหม โดยเฉพาะหากซื้อมาแล้วต้องสามารถรีโนเวตเป็นโรงแรม The Standard ได้”
อย่างไรก็ตามหากในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้หาก The Standard, Hua Hin มีอัตราเข้าพักที่ 70-80% ได้ แสนสิริก็มีแผนจะทำเข้ากองรีทหรือออกเป็น ICO ซึ่งจะเป็นแบบไหนนั้นคงต้องประเมินสถานการณ์ในช่วงนั้นอีกที
นอกจากนี้แสนสิริยังวางแผนที่จะนำ Standard International เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ส่วนจะเป็นที่ไทยหรือตลาด Nasdaq ของอเมริกา หรือตลาดอื่นๆ ที่สุดแล้วต้องประเมินอีกทีหนึ่ง
ทั้งนี้ในปี 2565 แสนสิริคาดว่า รายได้จากธุรกิจโรงแรมจะอยู่ที่ 500 ล้านบาท และเป็นกำไร 120 ล้านบาท ในด้านรายได้นั้นจะมาจาก The Standard, Hua Hin ราว 400 ล้านบาท ที่เหลือเป็น Peri Khao Yai และ Peri Hua Hin