×

จับตาทิศทางอสังหาฯ ปลายปีนี้จนถึงปีหน้า แสนสิริเชื่อผ่อน LTV กู้ซื้อบ้านเต็ม 100% ส่งผลดีกับประเทศ แนะขยายกรอบเวลา

29.10.2021
  • LOADING...
อุทัย อุทัยแสงสุข

ผลพวงหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปลดล็อกผ่อนคลายมาตรการ LTV ลงชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ที่ทำให้ประชาชนทั่วๆ ไปสามารถกู้ซื้อทั้งบ้านหลังแรกและหลังที่สองได้เต็มหลักประกัน 100% จากเดิมที่ไม่สามารถกู้ได้เต็มสัดส่วน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมอสังหาฯ และบริษัทในธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่างก็มีท่าทีที่สอดรับกับนโยบายดังกล่าวกันอย่างคึกคัก

 

อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับ THE STANDARD WEALTH ไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การที่รัฐบาล และ ธปท. ได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะจะช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี เขากังวลว่ากรอบระยะเวลาที่ผ่อนปรนมาตรการชั่วคราว 1 ปี 2 เดือนอาจไม่เพียงพอ รวมถึงลำพังการฝากความหวังไว้ที่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเดียวอาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจสักเท่าไร

 

“การผ่อนปรนมาตรการ LTV รอบนี้ก็จะลดข้อจำกัดให้กับ Real Demand กลุ่มคนที่อยากได้บ้านทั้งเป็นบ้านหลังแรกและหลังที่สองได้จริงๆ ที่อาจจะเจอปัญหาไม่สามารถกู้ได้เนื่องจากติดเงื่อนไขของข้อบังคับ LTV 

 

นอกจากนี้บ้านหลังที่ 2 ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ไม่ได้เกิดจากความต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไร แต่มาจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป อาทิ กลุ่มลูกค้าที่มีบ้านอยู่แล้ว แต่อยากได้คอนโดมิเนียมในเมืองที่ใกล้ที่ทำงาน หรือใกล้โรงเรียนลูก, กลุ่มลูกค้า มีบ้านหลังแรกอยู่แล้ว แต่ต้องการขยายครอบครัวในบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ขึ้น หรือกลุ่มลูกค้ามีคอนโดอยู่แล้ว แต่อยากได้บ้าน-ทาวน์โฮมราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัยให้กว้างขึ้น 

 

ซึ่งการผ่อน LTV ในครั้งนี้นับเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ ‘ภาคอสังหาฯ’ เป็นธุรกิจหนึ่งที่ผลักดัน เพราะต้องไม่ลืมว่าธุรกิจอสังหาฯ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิด GDP มากถึงสัดส่วนกว่า 20% เลยทีเดียว เนื่องจากการซื้อขายบ้านมันยังต่อเนื่องไปจนถึงการตกแต่งภายใน การซื้อของเข้าอยู่ในบ้าน หรือการดึงดูดเม็ดเงินจากผู้ซื้อต่างชาติเข้าประเทศ

 

“แต่ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องทำอีกหลายๆ เรื่องเลยในแง่การกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยตรงก็ได้ ขอให้เป็นการกระตุ้นภาครวมของธุรกิจ ทั้งในประเด็นการท่องเที่ยว หรือกลุ่มธุรกิจการแพทย์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อไปได้ และสุดท้ายแล้วเมื่อเศรษฐกิจประเทศไปต่อได้ ก็จะช่วยให้ภาคอสังหาฯ ได้รับอานิสงส์ไปด้วย”

 

ขณะที่ในมิติการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ หัวเรือใหญ่จากแสนสิริเชื่อว่า ช่วงเวลาที่เหลือสองเดือนสุดท้ายของปี 2564 นี้ ภาพรวมการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ จะคึกคักอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ที่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ทุกรายก็จะงัดเอาโปรโมชันส่งเสริมการขายออกมาแข่งขันเพื่อดันเป้ายอดขายและยอดโอนให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ โดยที่ตัวแสนสิริเองก็เริ่มกลับไปพูดคุยกับลูกค้ากลุ่มเก่าๆ ที่เป็นดีมานด์คงค้าง ซึ่งเคยมีความสนใจจะกู้ซื้อโครงการแต่ติดปัญหาในประเด็น LTV ถึงความเป็นไปได้ในการที่จะกลับเข้ามาซื้อโครงการของพวกเขาอีกครั้ง

 

รวมถึงขานรับมาตรการด้วยโปรโมชันรับ LTV ใหม่ แนวราบรับโปรสูงสุด 3 ล้าน* หรือรับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน* ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน* คอนโดมิเนียมอยู่ฟรี 2 ปี และฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน เป็นเจ้าของบ้านจากแสนสิริง่ายในทุกระดับราคา ตั้งแต่ 1.4-36 ล้านบาท 

 

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าจับตาและน่ากังวลเป็นอย่างมากในมุมมองของอุทัย ซึ่งส่งผลกับผู้บริโภคโดยตรงคือการที่ ราคาจำหน่ายโครงการอสังหาฯ ในปีหน้าอาจจะขยับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสองปัจจัย ประการแรกคือการที่ราคาวัสดุสำหรับใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากใช้พลังงานสูง ประการถัดมาคือความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)

 

“ผมเชื่อว่าปีหน้าเราอาจจะต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ทำให้คนที่ซื้อบ้านในปีนี้อาจจะได้บ้านในราคาที่ถูกที่สุดแล้ว เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาวัสดุจำพวกโลหะมีราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างเพิ่มสูงขึ้น เพราะใช้พลังงานในการผลิตที่สูง สุดท้ายราคาจำหน่ายบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างราคาจำหน่ายบ้านหรือคอนโดมิเนียมในปีนี้ของแสนสิริก็เป็นราคาจำหน่ายที่อิงจากต้นทุนเก่า นั่นหมายความว่าหากต้นทุนวัสดุในปีหน้าเริ่มขยับขึ้น ราคาจำหน่ายบ้านหรือคอนโดมิเนียมของเราก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” 

 

ปัจจุบันแสนสิริมีกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยรวมกว่า 80 โครงการ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม รวม 58 โครงการ กลุ่มคอนโดฯ 23 โครงการ และมีสต๊อกอยู่ในมือรวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสต๊อกกลุ่ม RTM (Ready to Move In) ที่พร้อมจะโอนให้ลูกค้าแล้ว โดยที่ในจำนวนนี้ 2,000 ล้านบาท หรือราว 17% เป็นสต๊อกกลุ่มบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮม ส่วนอีก 83% ที่เหลือเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม

 

ส่วนภาพรวมการเดินเกมในปีหน้า อุทัยแย้มว่าแสนสิริจะให้ความสำคัญกับทั้งโครงการแนวราบและแนวดิ่งเช่นเดิม โดยที่แนวดิ่งจะเน้นเจาะตลาดผ่านการขยายโปรดักต์ในกลุ่มโครงการแนว Low Rise ที่มีขนาดความสูงไม่เกิน 8 ชั้นเป็นหลัก เพื่อให้สามารถโอนทัน LTV ที่จะสิ้นสุดปลายปีหน้า และเน้นการพัฒนาคอนโดที่ไซส์ไม่ใหญ่ แต่กระจายในหลายทำเล เพื่อ Inventory ที่เหมาะสมและได้ Cash กลับมาเร็ว

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising