ถึงวันนี้ตลาดอาหารสุขภาพยังเติบโตต่อเนื่อง จากแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น แน่นอนว่าส่งผลให้ภาพรวมตลาดร้านอาหารสุขภาพในไทยขยายตัวขึ้น ซึ่งเติบโตไม่ต่ำกว่า 34% หรือมีมูลค่าแตะ 4,500 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก
“หลายคนอาจสงสัยว่าในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ผู้บริโภคมีการรัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย ร้านอาหารเพื่อสุขภาพจะได้รับผลกระทบตามไปด้วยหรือไม่ เพราะในมุมของคนไทยอาจมองว่าอาหารสุขภาพนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจัยเศรษฐกิจก็มีผลต่อทราฟฟิกร้านอาหารบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีน ฟู้ด แฟคทอรี่ จำกัด กล่าว
จริงๆ แล้วตั้งแต่หลังยุคโควิดมาธุรกิจร้านอาหารหลายรายลำบากมาก มีหลายร้านที่ปรับตัวแล้วกลับมาฟื้นตัวได้ ที่เห็นได้ชัดคือร้านอาหารประเภทชาบู สุกี้เชนใหญ่ๆ มีการเติบโตมากขึ้น ทั้งในแง่ของยอดขายและผู้เล่นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างคึกคัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ร้านอาหารสุขภาพโตแรงแต่แข่งเดือด! สลัดแฟคทอรี่ ไม่หวั่น จับมือ เอสเพียว เปิดตัวเมนูอกไก่…
- ‘ขอเพียงสัปดาห์ละ 1 มื้อ’ เจาะกลยุทธ์ ‘สลัดแฟคทอรี่’ หลัง CRG ดึงร่วมพอร์ต หวังเจาะตลาด
- ‘Salad Factory’ ติด Top 3 ร้านสลัดที่คนไทยรู้จัก CRG ไม่รอช้าทุ่ม 137 ล้าน ถือหุ้น 51%
เช่นเดียวกับร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดมากกว่า 20 แบรนด์และมีสาขารวมกันเกิน 100 สาขา จากเดิมที่มีไม่ถึง 5 แบรนด์เมื่อสองปีก่อน จากข้อมูลพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยินดีจ่ายเพิ่ม 10-20% เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังมีบางกลุ่มที่มีภาพจำว่าร้านอาหารสุขภาพต้องมีราคาสูง
ความเชื่อดังกล่าวเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งภาพลักษณ์พรีเมียมของสินค้า การตลาดที่เน้นคำว่าออร์แกนิกหรือ ซูเปอร์ฟู้ดไปจนถึงราคาจริงของวัตถุดิบบางประเภทที่สูงกว่าอาหารทั่วไปและคนมักเปรียบเทียบระหว่าง ข้าวกล่องสุขภาพ 150 บาทกับข้าวแกงธรรมดา 40 บาท โดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของคุณค่าทางโภชนาการ
และอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจอาหารสุขภาพ นอกจากจะโฟกัสสุขภาพแล้วยังต้องมีรสชาติที่อร่อยควบคู่กันไปด้วย เพราะถ้าหากอาหารดีแต่ไม่อร่อย ก็จะไม่สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำให้ร้านได้
ต่อจากนี้ ‘สลัดแฟคทอรี่’ จึงพยายามเดินหน้าปรับนิยามใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าอาหารเพื่อสุขภาพเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีราคาไม่สูงมาก และหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการจับมือกับพาร์ตเนอร์แบรนด์ เอสเพียว ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ จากเครือเบทาโกร เปิดตัวแคมเปญใหญ่ ‘อกไก่ฉ่ำ So Yummy’ สร้างสรรค์ 5 เมนูสไตล์ Japanese Twist จากอกไก่ ได้แก่ คัตสึอกไก่ซอสนากาโนะมิโซะ, สลัดครันชีอะโวคาโดอกไก่ย่าง, สปาเก็ตตี้เมนไทโกะอกไก่ย่าง, สเต็กอกไก่ย่างซอสเห็ดญี่ปุ่น และชิบูย่าชิกเก้นโทสต์ซอสแบล็กยูซุ เน้นเจาะกลุ่มครอบครัว คนรักสุขภาพ และผู้สูงอายุ
ปิยะย้ำว่า แนวคิดของแคมเปญดังกล่าวตั้งใจพัฒนามารับเทรนด์อาหารญี่ปุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมในไทย และความร่วมมือกันครั้งนี้นับเป็นปีที่สอง หลังจากปีที่แล้วได้ร่วมกันเปิดตัวแคมเปญเมนูอกไก่ไป ผลตอบรับดีมาก เมนูอกไก่เติบโตถึง 100% เราเห็นแล้วว่าการจัดแคมเปญแต่ละครั้งจะช่วยเพิ่มความถี่และกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากเข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น
จากปัจจุบันยอดซื้อต่อคนอยู่ที่ 200-300 บาท มั่นใจว่าในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นแน่นอน พร้อมประเมินภาพรวมธุรกิจอาหารในครึ่งปีหลังยังมีสัญญาณที่ดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยวด้วยว่าจะสามารถกระตุ้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่ธุรกิจต้องทำต่อคือระมัดระวังค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนในอนาคต
หากย้อนภาพรวมผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ของ สลัดแฟคทอรี่ พบว่ามีทิศทางค่อนข้างสดใสขึ้นเรื่อยๆ
- ปี 2564 มีรายได้ 256.3 ล้านบาท ขาดทุน 18.7 ล้านบาท
- ปี 2565 มีรายได้ 439.1 ล้านบาท กำไร 8.0 ล้านบาท
- ปี 2566 มีรายได้ 593 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท
จากธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ในเมืองทอง หลังจาก CRG เข้ามาเป็นผู้ร่วมทุน (JV) กับสลัดแฟคทอรี่ เมื่อช่วงต้นปี 2020 จากนั้นสลัดแฟคทอรี่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ CRG ตั้งเป้าเร่งขยายสาขา จนปัจจุบันมีสาขามากกว่า 46 สาขาและมีเป้าหมายผลักดันยอดขายให้แตะ 1,000 ล้านบาทในอีก 5-6 ปีข้างหน้า
“ทุกอย่างล้วนเป็นโจทย์ใหญ่และไม่ง่ายเพราะวันนี้ร้านอาหารทั่วไปได้เริ่มเพิ่มเมนูเพื่อสุขภาพเข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคเช่นกัน แต่ในปีนี้ตั้งใจสร้างยอดขายให้โตไม่ต่ำกว่า 20%” ปิยะย้ำ