หน่วยข่าวกรอง FSB ของรัสเซีย เผยแพร่แถลงการณ์วานนี้ (1 มิถุนายน) โดยระบุว่า ได้ทำการเปิดโปงปฏิบัติการจารกรรมของสหรัฐฯ ที่ทำการเจาะระบบโทรศัพท์มือถือ iPhone จำนวนหลายพันเครื่อง โดยใช้ซอฟต์แวร์สอดแนมที่มีความซับซ้อน
FSB ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองหลักที่สืบทอดจาก KGB ในยุคสหภาพโซเวียต ระบุในแถลงการณ์ว่า iPhone ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือยอดนิยมของบริษัท Apple จำนวนหลายพันเครื่องนั้นติดไวรัส ซึ่งรวมถึง iPhone ของชาวรัสเซีย และนักการทูตต่างประเทศที่อยู่ในรัสเซีย ตลอดจนประเทศอดีตสหภาพโซเวียต
นอกจากนี้ บริษัท Kaspersky Lab ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงมอสโก อ้างว่าอุปกรณ์พกพาของพนักงานหลายสิบเครื่องถูกเจาะระบบในปฏิบัติการดังกล่าว
โดย ยูจีน แคสเปอร์สกี (Eugene Kaspersky) ซีอีโอของ Kaspersky Lab โพสต์ข้อความทาง Twitter ระบุว่า โทรศัพท์มือถือของพนักงานหลายสิบเครื่องถูกเจาะระบบโดยหน่วยงานสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทของเขาอธิบายว่าเป็น “การโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีการกำหนดเป้าหมายอย่างมืออาชีพ” ซึ่งมีเป้าหมายเป็นผู้บริหารทั้งระดับสูงและระดับกลาง ซึ่งร่องรอยการเจาะระบบโดยฝังไวรัสที่ค้นพบนั้น มีอายุย้อนไปถึงปี 2019 ขณะที่บริษัทมั่นใจว่าไม่ใช่เป้าหมายหลักสำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้
FSB ยังกล่าวหาว่าปฏิบัติการจารกรรมด้วยการเจาะระบบ iPhone ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง ‘ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด’ ระหว่าง Apple และสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบด้านการเข้ารหัสและการสื่อสารข่าวกรองและความมั่นคง แต่ทาง FSB ไม่ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่า Apple มีความร่วมมือหรือมีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการดังกล่าว
ทางด้าน Apple ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาของหน่วยข่าวกรองรัสเซีย โดยยืนยันว่า “ไม่เคยทำงานใดๆ ร่วมกับรัฐบาลในการแทรกรูรั่วของระบบ (Backdoor) เข้าไปในผลิตภัณฑ์ใดๆ ของ Apple และจะไม่มีทางทำเช่นนั้น”
ขณะที่ NSA ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ ต่อการแฉข้อมูลดังกล่าวของ FSB
ภาพ: Sean Gallup / Getty Images
อ้างอิง: