ขึ้นชื่อการเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยเป็นงานที่ง่าย และชื่อของ รูเบน อโมริม ก็ถูกจับตามาตลอดตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้าสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
จนถึงตอนนี้ ผ่านมาเกือบครบหนึ่งปีเต็ม แต่สิ่งที่อโมริมต้องเจอคือแรงกดดันมหาศาลจากทั้งผลงาน และเสียงวิจารณ์รอบด้านที่ล้วนมาจากผลงานในสนามโดยตรง
ฤดูกาลแรกจบลงด้วยการพาทีมรั้งอันดับที่ 15 ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นผลงานแย่ที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1974 และซีซันปัจจุบันก็ดูเหมือนว่ายังไม่ดีขึ้นมากนัก
เมื่อทัพปีศาจแดงต้องปลิวตกรอบคาราบาวคัพด้วยน้ำมือทีมลีกทูอย่าง กริมสบี ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่ยังห่างไกลจากคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’
แต่ท่ามกลางกระแสความกดดัน ในอีกมุมที่เป็นด้านบวกของเส้นทางกุนซือในอังกฤษ อโมริมยังคงได้รับความไว้วางใจและแรงหนุนหลังอย่างเต็มที่จาก เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยแต่มีอำนาจควบคุมงานด้านฟุตบอลของสโมสร ซึ่งยืนยันชัดเจนว่า พร้อมจะให้เวลาอโมริมถึง 3 ปีเต็ม เพื่อพิสูจน์ตัวเองที่โอลด์แทรฟฟอร์ด
ใน Podcast The Business ของ The Times เซอร์จิมกล่าวย้ำจุดยืนชัดเจนว่า “ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน” พร้อมยกตัวอย่าง มิเกล อาร์เตต้า ที่อาร์เซนอล ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในการเปลี่ยนทีมจากช่วงเวลาที่ล้มเหลว จนก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในทุกวันนี้
สำหรับแรทคลิฟฟ์ สิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการคือความต่อเนื่องและความอดทน ไม่ใช่การตัดสินใจแบบ ‘ฉับพลันทันด่วน’ ตามแรงกดดันของสื่อหรือแฟนบอล โดยเขายืนยันว่า อโมริมต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมได้ภายใน 3 ปี และตัวเขาเชื่อว่ามันต้องใช้เวลาแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ครอบครัวเกลเซอร์ยังถือหุ้นใหญ่ของสโมสร แต่หลังจาก เซอร์จิม จากบริษัท INEOS เข้ามาซื้อหุ้นราว 30% เมื่อปี 2024 เขาได้รับอำนาจควบคุมการตัดสินใจด้านฟุตบอลโดยตรง นั่นทำให้เสียงยืนยันของเขาเรื่องการให้เวลาอโมริมมีน้ำหนักมากกว่าที่หลายคนคิด
เมื่อถูกถามว่า หากเกลเซอร์ต้องการปลดอโมริมจะทำอย่างไร เซอร์จิมตอบชัดว่า “มันจะไม่เกิดขึ้น” พร้อมเสริมว่าเกลเซอร์เองก็ยินดีที่จะให้เขาบริหารงานในส่วนนี้อย่างเต็มที่
ในอีกมุมหนึ่ง เซอร์จิมเองก็ตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เขาเดินหน้าปรับโครงสร้างสโมสร ทั้งการลดค่าใช้จ่าย การเลิกให้สวัสดิการอาหารฟรี รวมถึงการปลดพนักงานกว่า 400 ตำแหน่ง เพื่อทำให้สโมสรมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น
แม้ถูกโจมตีว่าโหดร้ายเกินไป แต่แรทคลิฟฟ์ยืนยันว่าความยั่งยืนทางการเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด พร้อมย้ำว่า “ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดระหว่างผลงาน และปัจจัยภายนอกคือเรื่องกำไร ยิ่งคุณมีเงินมาก คุณก็สามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้”
เขายังมั่นใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลายเป็นสโมสรที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก และจากตรงนั้นจะต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในสนาม
แม้หลายฝ่ายยังสงสัยว่า อโมริมจะประสบความสำเร็จกับแมนฯ ยูไนเต็ดได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะการดื้อดึงยึดมั่นกับระบบ 3-4-2-1 ที่หลายคนมองว่า ค่อนข้างฝืนกับศักยภาพนักเตะที่มีอยู่
แต่ทว่าการได้รับความไว้วางใจจากผู้ถืออำนาจตัวจริงในสโมสรอย่าง ‘เซอร์จิม’ ถือเป็นเกราะป้องกันสำคัญ
“เขาเป็นคนดีนะ” เซอร์จิม ทิ้งท้ายถึงอโมริม
พร้อมยืนยันว่าในกรอบเวลา 3 ปี จะเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ ‘อโมริม’ ทุกอย่าง ขอแค่ทุกคนอดเฝ้ารอ…อย่างอดทน
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2025/oct/08/sir-jim-ratcliffe-ruben-amorim-sack-manchester-united-glazers
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/ckgy5mzm17ko
- https://www.skysports.com/football/news/11667/13446960/ruben-amorim-sir-jim-ratcliffe-wants-to-give-under-pressure-manchester-united-head-coach-three-years-to-prove-himself