×

Rihanna จากเด็กสาวชาวเกาะสู่ศิลปินตัวมารดา อิทธิพลของ ‘แม่’ ขับเคลื่อนโลกนี้อย่างไร?

22.02.2023
  • LOADING...

Rihanna ปรากฏตัวและทำการแสดงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีในช่วง Halftime Show ของ NFL Super Bowl เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2023 ทวงคืนฐานะตัวมารดาคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีโลก หลังจากเธอใช้เวลาในการพัฒนาธุรกิจความงามของเธออยู่พักใหญ่ สร้างเสียงฮือฮาให้กับแฟนเพลงและผู้ชมทั่วโลก และคลายความคิดถึงเธอในฐานะศิลปินไปได้มาก (และยิ่งคิดถึงอัลบั้มใหม่ของเธอมากขึ้นไปอีก!) 

 

 

และดูเหมือนว่าปี 2023 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจดจำในฐานะศิลปินของเธอ เพราะนอกจากจะได้โชว์ใน Halftime Show ที่มียอดผู้ชมสูงสุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล ปีนี้เธอยังมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Black Panther: Wakanda Forever ด้วย และล่าสุดเธอยังพาสามี A$AP Rocky และลูกน้อยขึ้นปก Vogue UK ในเดือนมีนาคมนี้ ที่ให้สัมภาษณ์ถึง New Era ของเธอ

 

จากเด็กผู้หญิงที่เติบโตบนเกาะบาร์เบโดส ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการเป็นศิลปิน สู่หนึ่งใน ‘ผู้หญิงหลากบทบาท’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค อิทธิพลของเธอทั้งการเป็นศิลปินและนักธุรกิจสร้างแรงกระเพื่อมอะไรให้กับโลกใบนี้บ้าง?

 

ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Pon de Replay

 

ศิลปินที่ถูกให้เซ็นสัญญาในทันทีที่ออดิชันเสร็จ

 

จุดเริ่มต้นเส้นทางดนตรีของ Rihanna ย้อนไปเมื่อเธออายุได้ 15 ปีที่มีโอกาสได้พูดคุยกับ Evan Rogers โปรดิวเซอร์ดนตรีชาวอเมริกัน (เคยทำงานร่วมกับ Christina Aguilera, Kelly Clarkson) ที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังบาร์เบโดส และดูเหมือนว่าความสามารถของเธอจะเตะตาเขาเข้าอย่างจัง จึงถูกชักชวนให้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทดลองอัดเดโม ซึ่งเพลงฮิตในอัลบั้มแรกของเธออย่าง Pon de Replay ก็เป็น 1 ใน 2 เพลงแรกที่เธอทำในวันนั้น

 

จากเด็กหญิงที่ร้องเพลงหน้ากระจกในห้องน้ำ ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเธอกำลังจะเป็นที่โจษจันไปทั่ววงการ เพราะเดโมของเธอถูกส่งไปให้หลายๆ ค่ายได้พิจารณา ซึ่งในตอนนั้นเอง Jay Brown ซึ่งเป็นทีมฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินของค่าย Def Jam ก็ได้ฟังด้วย ก่อนที่เสียงร้องของเธอจะถูกส่งต่อไปยังประธานของค่ายอย่าง Jay-Z และเขาก็เรียกเธอเข้ามาเพื่อออดิชัน

 

“เมื่อไปถึงที่ค่าย ฉันสั่นไปหมดเลย ฉันไม่เคยเจอพวกเซเลบริตี้ แถมยังต้องมาออดิชันต่อหน้าพวกเขาอีก ฉันตีโพยตีพายไปหมด แต่พอเข้าไปถึงออฟฟิศจริงๆ บรรยากาศมันต่างจากที่ฉันคิดไปมาก บรรยากาศอบอุ่นสุดๆ หายตื่นเต้นไปเลย” Rihanna เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นกับ MTV

 

คาริสมาและความสามารถของ Rihanna ทรงพลังอย่างมากทั้งที่อายุแค่ 17 ปี เพราะหลังจากที่มีการออดิชันและพูดคุยกันในช่วงสี่โมงเย็น ทางค่าย Def Jam ก็ตัดสินใจทันทีว่านี่คือศิลปินที่พวกเขามองหาและเล็งเห็นว่าเธอคนนี้มีของ 

 

ถึงขนาดที่ L.A. Reid Executive Producer ของค่าย พยายามให้ทุกคนทำอย่างไรก็ได้ให้เธออยู่ในออฟฟิศโดยไม่กลับบ้านไปเสียก่อน เพราะพวกเขาต้องการเซ็นสัญญากับเธอทันที และสัญญาทั้งหมดถูกร่างขึ้นอย่างเร่งด่วน และเสร็จสรรพตอนเวลาตีสามในวันรุ่งขึ้น!

 

“พวกเขาบอกฉันว่า ‘คุณจะไปไหนไม่ได้จนกว่าจะได้เซ็นสัญญา’ ฉันก็นึกว่าพวกเขาแกล้งพูด แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จนเราต้องแคนเซิลการประชุมกับค่ายอื่นๆ ไปเลย”

 

ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Diamonds

 

ซาวด์และเรื่องราวเฉพาะตัวที่ทำให้เธอทรงอิทธิพล

 

นอกจากตัวตนและเสน่ห์เฉพาะตัวของ Rihanna ที่ทำให้เธอได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมดนตรีอย่างมาก ขนาดว่าต้องเซ็นสัญญาทันทีเพราะกลัวโดนค่ายอื่นแย่งเธอไป หลังจากเธอได้เริ่มทำงานทางด้านดนตรี ผู้ฟังก็ต่างค้นพบความสดใหม่ แปลกหู และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ ในยุคนั้น โดยเฉพาะการนำเอาแนวดนตรีเรกเก้ ฮิปฮอป และอาร์แอนด์บีมาผสมผสานกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

 

นอกจากนั้นเธอยังโดดเด่นในการใช้ภาษา Bajan (สำเนียงท้องถิ่นของบาร์เบโดส) ที่คล้ายเป็นการเอาภาษาอังกฤษ (British English) ควบรวมหรือย่นย่อกับสำเนียงท้องถิ่นใส่เข้าไปในเพลงของตัวเองเสมอ

 

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเพลงฮิตๆ บนโลกนี้หลายๆ เพลงก็เลือกใช้ทำนองเรกเก้มาผสมผสาน แต่สิ่งหนึ่งที่ Rihanna ยึดถือไว้เสมอคือการนำเสนอแนวดนตรีดังกล่าวเพื่อแสดงอัตลักษณ์เฉพาะของเธอตั้งแต่อัลบั้มแรก เผยรากเหง้าทางดนตรีสไตล์แคริบเบียนที่แสดงให้เห็นตัวตน ชีวิต และความเป็นมาของผู้หญิงชาวเกาะบาร์เบโดสนี้ได้อย่างดี 

 

ไม่ว่าจะเป็นในเพลง Pon de Replay ในอัลบั้มแรกที่ใช้วลีท้องถิ่นบ้านเธอมาใช้เป็นชื่อเพลง หรือเพลงอย่าง Where Have You Been, Man Down และ Rude Boy ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศดนตรีสไตล์ดังกล่าว

 

ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Work (Feat. Drake)

 

และสาเหตุที่เธอชอบหยิบเอาเพลงเรกเก้แดนซ์ฮอลล์ ที่สามารถโยกตัวได้มาเป็นกลิ่นหลักของดนตรี นั่นก็เพราะหนึ่งในแรงบันดาลใจในด้านดนตรีของ Rihanna คือ Bob Marley ที่เธอเคยได้ดูผลงานของเขาในวัยเด็กผ่านโทรทัศน์ ซึมซับบรรยากาศและความรู้สึกเหล่านั้นถ่ายทอดออกมาเป็นดนตรีในแบบของ Rihanna และมันกลายเป็นสิ่งที่สดใหม่เมื่อเพลงของเธอถูกส่งเข้าไปในโลกของดนตรีเมนสตรีม

 

มากกว่าเรื่องซาวด์ที่ทรงอิทธิพลแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่โดดเด่นมากๆ ในเพลงของ Rihanna คือการนำเสนอเรื่องราวของอำนาจในหลายๆ มิติ อย่างในเพลง Bitch Better Have My Money, S&M, Rude Boy หรือในเพลงฮิตสุดๆ ของเธออย่าง Work (Feat. Drake) ก็เปี่ยมไปด้วยดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ และเนื้อหาเพลงส่วนใหญ่ก็ล้วนชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาปลุกพลังความเป็นผู้หญิง เติมจิตวิญญาณและแรงขับเคลื่อนชีวิตให้กับคนฟัง

 

ตลอดระยะเวลาการทำงานในอุตสาหกรรมดนตรี Rihanna ยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Maroon 5, Eminem, Kanye West, Coldplay, Drake, Nicki Minaj, Shakira และอื่นๆ อีกมากมาย ปัจจุบันเธอมีสตูดิโออัลบั้มทั้งหมด 8 อัลบั้ม เป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่ 9 รางวัล มีเพลงอันดับ 1 บน Billboard ถึง 14 เพลง และสร้างความหวือหวาทุกครั้งที่ปล่อยเพลงใหม่ๆ ออกมา

 

 

ธุรกิจเครื่องสำอาง และการสนับสนุนความหลากหลายของสังคมโลก

 

Rihanna เป็นที่รักของแฟนๆ อย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่เป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตระเบิดจำนวนมาก หรือแฟชั่นไอคอนที่หลายคนหลงใหลและชื่นชอบ แต่เธอยังอยู่ในฐานะของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาสนับสนุนความหลากหลาย ครอบคลุมทั้งเรื่องวัย เพศ เชื้อชาติ รวมถึงใช้ชื่อเสียงของเธอในการเป็นกระบอกเสียงอยู่เสมอ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ มิติให้กับสังคม 

 

เช่น การเปิดมูลนิธิของตัวเองในปี 2012 ที่ชื่อ The Clara Lionel Foundation ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนสิทธิพื้นฐานของประชาชน ทั้งเรื่องการศึกษาและการรักษาพยาบาล รวมถึงเรื่องภาวะโลกร้อน

 

หรืออย่างในปี 2013 แบรนด์เครื่องสำอางค์อย่าง M.A.C ก็พา Rihanna มาร่วมในแคมเปญ Viva Glam ลิปสติกและลิปกลอสซึ่งเธอมอบรายได้ทั้งหมดจากแคมเปญดังกล่าวให้กับผู้หญิงและเด็กที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ และได้ยอดรวมไปกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

อีกเรื่องที่ชัดเจนมากๆ ในฐานะของผู้หญิงที่สนับสนุนความหลากหลายอย่างแท้จริง คือการมีอยู่ของแบรนด์ Fenty Beauty แม้เธอจะเป็นเซเลบริตี้ระดับเอลิสต์ของโลก แต่การสร้างแบรนด์ความงามที่เชิดชู ‘ความหลากหลาย’ ก็ทำให้ธุรกิจนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่าการที่เป็นแค่เซเลบมาทำแบรนด์ของตัวเอง และยังสร้างแรงกระเพื่อมระดับใหญ่ให้กับโลกใบนี้

 

 

เริ่มต้นจากการที่เธอผลิตไลน์รองพื้นออกมากว่า 40 เฉดในครั้งเปิดตัว เพื่อบ่งบอกว่าทุกเฉดสีผิวมีความสำคัญ โอบรับทุกความแตกต่างของมนุษย์ จนขนาดว่านิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็น 1 ใน 25 นวัตกรรมแห่งปี 2017 ซึ่งสิ่งนี้ทำรายได้ถึงมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาไม่ถึงเดือน 

 

แม้สิ่งนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเน้นขายผลิตภัณฑ์พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่เลือกใช้นางแบบจากหลากชาติพันธุ์ ให้เห็นภาพอนาคตของความสวยงามอย่างชัดเจน หรืออย่างการทำแบรนด์ Savage X Fenty ไลน์ชุดชั้นในที่มีหลากหลายไซส์ เพื่อตอบสนองรูปร่างที่หลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย

 

 

ผู้หญิงผู้ไม่ลืมว่าเธอเคยเป็นใคร

 

ถ้าหากใครได้ชมสปอตโปรโมต Halftime Show ที่ชื่อ ‘Run This Town’ จาก Apple Music จะพบว่าในวิดีโอตัวดังกล่าวได้เล่าเรื่องชีวิตของเธอในวัยเด็กออกมาอย่างเรียบง่าย ในฐานะของเด็กที่เติบโตมาบนประเทศเกาะอย่างบาร์เบโดสที่ดูห่างไกลจากความสำเร็จของเธอในวันนี้อย่างมาก โดยเฉพาะประโยคโปรยปิดท้ายที่ช่างทรงพลังและเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเธอได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นคือ 

 

“My whole life was shaped on this very road. I was just a little girl flying kites in the cemetery…But I had big dreams.”

 

วันนี้ชีวิตของเธอเดินทางมาถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่นั้นแล้ว และสร้างอิมแพ็กอย่างมากในฐานะประชาชนของบาร์เบโดส ให้โลกให้รู้จักตัวตน รากเหง้า และชีวิตของเธอผ่านทุกมิติในชีวิต

 

“ขอให้คุณเฉิดฉายเปล่งประกายดุจเพชรต่อไป”

 

นี่คือคำสรรเสริญจาก Mia Mottley ประธานาธิบดีของประเทศบาร์เบโดส ที่งานพิธีฉลองเอกราชของประเทศในปีที่ 55 และ Rihanna ได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ของประเทศบาร์เบโดสลำดับที่ 11 ในปี 2021 ซึ่งในช่วงระยะเวลา 3 ปีก่อนหน้านั้น เธอรับบทบาทเป็นทูตทางวัฒนธรรมและเยาวชนของประเทศ 

 

ด้วยผลงานและชื่อเสียงของเธอ และการนำเสนอบ้านเกิดของเธอสู่โลกกว้าง คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Rihanna เป็นดั่งฮีโร่ของบาร์เบโดส รวมถึงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด เธอบริจาคเครื่องช่วยหายใจมูลค่ากว่า 7 แสนดอลลาร์สหรัฐแก่ประเทศของเธอด้วย

 

ลองคิดดูว่าคนในประเทศบาร์เบโดสรักเธอขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าองค์กรท้องถิ่นของประเทศอย่าง Barbados Tourism Marketing Inc. และ National Sports Council ได้จัด Watch Party (การนั่งดูโชว์ร่วมกัน) เพื่อให้ชาวบาร์เบโดสได้ออกมาร่วมชม Halftime Show ของเธอด้วย รวมถึงทุกๆ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ก็จะมีประชาชนหลายๆ กลุ่มเฉลิมฉลอง ‘Rihanna Day’ ซึ่งเป็นวันเกิดของเธอด้วย

 

จากหญิงสาวที่มีความฝันจากประเทศเกาะที่ห่างไกลจากความโด่งดัง เธอเดินทางมาอย่างยาวไกล เติบโตอย่างแข็งแรงและสวยงาม จนกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงทรงอิทธิพลระดับโลกที่สร้างแรงกระเพื่อมมากมายให้กับโลกในยุคปัจจุบัน

 

และเราเชื่อว่าชื่อของ Rihanna จะตราตรึงใจและสร้างอิมแพ็กใหม่ๆ ให้กับโลกนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising