ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วนั้น พรรคเดโมแครตพ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับพรรครีพับลิกัน เพราะไม่เพียงผู้สมัครท้าชิงในตำแหน่งประธานาธิบดีของพวกเขาอย่าง คามาลา แฮร์ริส จะพ่ายแพ้ให้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ไปอย่างสิ้นเชิงในทั้ง 7 รัฐสีม่วง แต่พวกเขายังพ่ายแพ้ต่อพรรครีพับลิกันโดยการเสียที่นั่งข้างมากทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาด้วย
ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตเสียขวัญและกำลังใจไปมากยิ่งกว่าความพ่ายแพ้ของ ฮิลลารี คลินตัน ในการเลือกตั้งในปี 2016 เสียอีก เพราะการเลือกตั้งในครั้งนั้นทุกคนมองว่าชัยชนะของทรัมป์เป็นเรื่องของ ‘ความฟลุก’ จากการที่ชาวอเมริกันอยากลองของใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากนักการเมืองอาชีพอย่างคลินตัน และมองว่าทรัมป์น่าจะไม่กล้าดำเนินนโยบายสุดโต่งหลายอย่างที่เขาหาเสียงไว้
แต่ในการเลือกตั้งปี 2024 นี้ ทุกคนรู้แล้วว่าทรัมป์เป็นอย่างไรและกล้าที่จะดำเนินนโยบายตามที่เขาหาเสียงไว้จริงๆ ทำให้เดโมแครตต้องยอมรับว่านโยบายแบบชาตินิยมของทรัมป์นั้นได้รับความนิยมในหมู่ชาวอเมริกัน ในขณะที่นโยบายซ้ายแบบ woke ของพรรคเดโมแครตนั้นไม่เป็นที่นิยมเอาเสียเลย
The Resistance 1.0
ความพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดของฮิลลารีในปี 2016 นั้น ปลุกให้ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตตื่นขึ้นมาในทันทีหลังจากการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน เราได้เห็นการเดินขบวนประท้วงนโยบายของทรัมป์แทบจะทันทีในเกือบทุกเมืองใหญ่ทั่วประเทศ โดยการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการเดินขบวนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในชื่อของ Women’s March ภายหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในเดือนมกราคมปี 2017 นอกจากนั้น นักการเมืองของพรรคเดโมแครตยังได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วงในรัฐสภาเพื่อที่จะโหวตไม่รับรองรัฐมนตรีและข้าราชการการเมืองในทำเนียบขาวที่เสนอโดยทรัมป์ เช่น เจสัน มิลเลอร์ ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการสื่อสารของทำเนียบขาว และ แอนดรูว์ พูซเดอร์ ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยที่ความพยายามในการต่อต้านรัฐบาลของทรัมป์ในครั้งนั้นถูกขนานนามโดยสื่อมวลชนว่า The Resistance ซึ่งพรรคเดโมแครตก็ได้อาศัยกระแส The Resistance ในการเอาชนะพรรครีพับลิกันและได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งกลางเทอมอีก 2 ปีต่อมา
แต่อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ในปี 2024 นั้น ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป เพราะฐานเสียงของพรรคเดโมแครตยอมรับแล้วว่าชัยชนะของทรัมป์นั้นไม่ใช่เรื่องฟลุก พวกเขายอมรับว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่นั้น นิยมชมชอบกับนโยบายชาตินิยมและ anti-woke ของเขา ทำให้กระแสต่อต้านทรัมป์แบบ The Resistance ที่เคยเกิดในปี 2016 ไม่เกิดขึ้นในรอบนี้ แม้แต่นักการเมืองของพรรคเดโมแครตเองก็ดูเหมือนจะยอมจำนนทำให้ทรัมป์สามารถแต่งตั้งรัฐมนตรีของเขาได้ตามใจชอบครบทุกคน ไม่เหมือนกับการดำรงตำแหน่งในสมัยแรก
คะแนนนิยมที่ตกต่ำลงของทรัมป์ เพราะนโยบาย Tariff
คะแนนนิยมของทรัมป์ในช่วงแรกสุดเลยภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เขามีคะแนนนิยมที่เป็นบวกมากกว่าสมัยการดำรงตำแหน่งครั้งแรกในปี 2016 เพราะชาวอเมริกันส่วนใหญ่พึงพอใจกับนโยบายการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายที่เขาเอาจริงเอาจังมากกว่าสมัยไบเดน รวมถึงความคาดหวังของชาวอเมริกันที่หวังว่าทรัมป์จะบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่าสมัยไบเดนที่เต็มไปด้วยปัญหาเงินเฟ้อและข้าวยากหมากแพง
อย่างไรก็ดีคะแนนนิยมของเขาตกลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นติดลบภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนหลังจากการเข้ารับตำแหน่ง อันเป็นผลมาจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าหรือ Tariff ของเขา
นโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของทรัมป์นั้นไม่เป็นที่นิยมเอาเสียเลย โดยผลการสำรวจล่าสุดของ YouGov ระบุว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ถึง 51% ไม่พอใจกับนโยบายนี้ มีเพียงส่วนน้อยแค่ 34% เท่านั้นที่เห็นด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะการตั้งกำแพงภาษีย่อมจะทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น และชาวอเมริกันก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำให้พวกเขาผิดหวังอย่างมาก เพราะเขาได้เลือกทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำโดยหวังว่าทรัมป์จะสามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อและข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในสมัยไบเดนได้
นอกจากนั้น นโยบายกำแพงภาษียังทำให้เกิดความปั่นป่วนของตลาดทุน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาจากจุดสูงสุดเกิน 10% และทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนประเมินว่ามีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของทรัมป์ ที่เคยถูกมองว่าเป็นนักธุรกิจผู้เก่งกาจนั้นเสื่อมถอยลงไป ทำให้คะแนนนิยมด้านการบริหารเศรษฐกิจของเขาที่เคยเป็นจุดแข็งมาตลอดกลายเป็นติดลบและฉุดคะแนนความนิยมโดยรวมของเขาลงไปมาก
Hands Off!
นอกจากนั้นคะแนนนิยมของทรัมป์ยังตกต่ำลงจากการที่เขาพยายามดำเนินนโยบายลดการใช้จ่ายของรัฐผ่านการลดขนาดของข้าราชการ โดยที่ทรัมป์ให้อำนาจกับคนสนิทของเขาอย่าง อีลอน มัสก์ เป็นผู้นำในการลดขนาดของรัฐบาลกลางด้วยการไล่พนักงานรัฐออกหลายหมื่นคน ซึ่งนโยบายนี้ทำท่าว่าจะเป็นที่นิยมในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้วเหมือนกับว่ามัสก์จะไม่มีแผนหรือกฎเกณฑ์ที่แน่นอนว่าเขาจะไล่ พนักงานรัฐคนไหนออก ทำให้เกิดความปั่นป่วนในการปฏิบัติงานจริง เพราะพนักงานรัฐหลายคนที่ถูกไล่ออก มีหน้าที่ที่สำคัญในกระบวนการทำงานของหน่วยงาน ทำให้สุดท้ายแล้วเขาต้องไปอ้อนวอนให้พนักงานเหล่านั้นกลับมาทำงานใหม่เพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางดำเนินการต่อไปได้
ภาพความยุ่งเหยิงนี้ เกิดเป็นกระแสตีกลับทำให้เกิดกระแสความเห็นใจต่อพนักงานรัฐเหล่านั้นว่าถูกผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างมัสก์ย่ำยีบีฑา ที่สำคัญมัสก์และนักการเมืองของพรรครีพับลิกันหลายคนได้ออกให้สัมภาษณ์อยู่เรื่อยๆ ว่า การจะลดรายจ่ายของรัฐบาลกลางได้จริงนั้น พวกเขาจำเป็นจะต้องลดรายจ่ายของนโยบายรัฐสวัสดิการ เช่น ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ (Medicare) และบำนาญจากรัฐ (Social Security) ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวอเมริกัน โดยเฉพาะในหมู่แรงงานผิวขาวที่มีฐานะยากจนที่เป็นฐานเสียงหลักของทรัมป์เสียเองด้วยซ้ำ
ผลจากคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงของทรัมป์ในครั้งนี้ทำให้ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตที่เคยอ่อนแอลง ภายหลังความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง พวกเขาสามารถระดมพลออกมาประท้วง ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศภายใต้แฮชแท็ก #HandsOff ในระดับเดียวกับที่เคยขึ้นกับ The Resistance ในรอบแรกเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา
ความคึกคักของฐานเสียงของพวกเขา ยังจะเห็นได้จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ที่ ซูซาน ครอว์ฟอร์ด ผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งตุลาการศาลสูงสุดของรัฐวิสคอนซินที่ได้รับการสนับสนุนโดยพรรคเดโมแครต เอาชนะ แบรด ชิเมล ผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันไปอย่างถล่มทลายถึง 10% ทั้งๆ ที่วิสคอนซินเป็นรัฐที่ทรัมป์เอาชนะแฮร์ริสมาได้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง นอกจากนั้นในวันเดียวกัน ยังมีการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน 2 เขต คือที่ฟลอริดาเขต 1 และเขต 6 ซึ่งแม้ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันสามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้ทั้ง 2 เขต แต่คะแนนทิ้งห่างเพียง 15% เท่านั้น ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 เขตนี้ทรัมป์เพิ่งเอาชนะแฮร์ริสมากว่า 30% เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา
เป็นที่น่าสนใจว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถเลี้ยงกระแสต่อต้านทรัมป์และมัสก์ให้ยาวนานไปจนถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 ได้เหมือนกับที่พวกเขาเคยทำได้ในรอบปี 2018 หรือไม่ ต้องมาติดตามกัน
ภาพ: Daniel Cole / Reuters