อาจเป็นเพราะตลาดสินค้าหรูหรามือสองเฟื่องฟูอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้แบรนด์หรูหลากหลายเจ้าเริ่มหันมามีส่วนร่วมในตลาดมือสองบ้างแล้ว แม้ว่าในปีที่แล้วจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่ แต่ตลาดนี้ก็ยังมีมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านยูโร (ราวๆ 1.5 ล้านล้านบาท) ในปี 2022 จากการศึกษาของ Bain-Altagamma และเติบโตเร็วกว่าตลาดสินค้าหรูหราหลักถึง 4 เท่า โดยอยู่ที่ 12% เทียบกับ 3% ต่อปี
ในอดีตการขายต่อสินค้าหรูมักเกิดขึ้นในร้านบูติกเล็กๆ ในท้องถิ่น แต่ด้วยเทคโนโลยีทำให้เกิดแพลตฟอร์มต่างๆ ที่มอบประสบการณ์การซื้อ-ขายที่ง่ายและครบวงจร และปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายต่อทำให้สินค้าหรูหรากระจายวงออกไปกว้างขึ้นและเพิ่มโอกาสในการหารายได้พิเศษสำหรับผู้ค้า ที่สำคัญคือข้อได้เปรียบในแง่โอกาสสำหรับนักช้อปในการซื้อของหายาก เช่น สินค้าวินเทจ หรือรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันที่จำหน่ายหมดเกลี้ยงไปแล้ว
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- เมื่อโลกใบนี้มีอะไรมากกว่าคำว่า ‘หรู’! ถอดรหัสสิ่งสำคัญที่เรา (และแบรนด์) ได้เรียนรู้จากดราม่ากระเป๋า Charles & Keith
- ซื้อบ้านไม่ไหวซื้อ ‘แบรนด์เนม’ แทนแล้วกัน! พบวัยรุ่นเกาหลีใต้ซื้อสินค้าแบรนด์หรูพุ่ง 24% หวังสร้างภาพในโซเชียล และยกระดับตัวเองในกลุ่มเพื่อน
- ลงทุนใน นาฬิกา Rolex ดีกว่าหุ้น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ หากคุณซื้อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้แบรนด์หรูส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตลาดการขายต่อ อีกทั้งยังลังเลที่จะกระตุ้นการขายซ้ำ เนื่องจากกลัวว่าจะแย่งยอดขายของใหม่และทำให้ความพิเศษของแบรนด์ลดลง แต่มีปัจจัยความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งความนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการซื้อสินค้าที่สนับสนุนความยั่งยืนและราคาย่อมเยาลง โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นสินค้าใหม่หรือเก่า รวมถึงความนิยมของลิมิเต็ดเอดิชันและการควบคุมอุปทานของแบรนด์ ยิ่งทำให้ตลาดมือสองยิ่งเติบโตขึ้น ซึ่งผู้เล่นหลักในปัจจุบันคือเว็บไซต์ขายต่อต่างๆ จนแบรนด์เริ่มปรับกระบวนการด้วยการลงมาเล่นเองหรือหาพันธมิตรทางธุรกิจ
ปัญหาหลักๆ ของแพลตฟอร์มขายต่อคือเรื่องของความเชื่อมั่น และได้พยายามที่จะแก้ปัญหานี้มาโดยตลอด อย่างเช่น Vestiaire Collective ก็จ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสินค้าหรูหราและเปิดตัวโครงการ ‘Brand Approved’ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ต่างๆ เพื่อรับรองความถูกต้อง ส่วนในปี 2021 eBay ก็เปิดตัว ‘Authenticity Guarantee’ หรือการรับประกันของแท้สำหรับรองเท้าผ้าใบและนาฬิการะดับไฮเอนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขาย ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงขยายไปที่กระเป๋าหรูในเดือนพฤษภาคม 2022 โดยสินค้าที่มีราคาสูงกว่า 500 ดอลลาร์ (ราวๆ 16,500 บาท) จะได้รับการตรวจสอบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะส่งไปยังผู้ซื้อ
ในขณะที่แบรนด์ก็รู้ถึงข้อได้เปรียบจุดนี้และลงมาเล่นในสนามเอง อย่างเช่น เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Rolex ประกาศทำโครงการซื้อ-ขายนาฬิการีเซลของตัวเอง และได้วางขายไปบ้างแล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่าง Bucherer ในยุโรป แม้ราคาจะสูงกว่าตลาดนาฬิกามือสองทั่วไป แต่ก็สร้างความมั่นใจให้กับนักสะสมมือใหม่ ผนวกกับผลพลอยได้ที่ว่าผู้ที่เคยซื้อแบรนด์จากตลาดมือสองก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าหน้าใหม่ของตลาดหลักในอนาคตด้วย ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตนาฬิกาอิสระอีกหลายเจ้าหันมาทำโปรแกรมรีเซลของตัวเองแล้วเช่นกัน
และบางแบรนด์อาศัยความร่วมมือกับแพลตฟอร์มต่างๆ ในรูปแบบการรับประกัน เช่น Balenciaga ที่ร่วมมือกับ Reflaunt บริษัทที่มีแพลตฟอร์ขายต่อถึง 25 แพลตฟอร์มรับซื้อและวางจำหน่ายสินค้าของ Balenciaga โดยมีการการันตีจากแบรนด์ ส่วน Valentino เน้นไปที่จุดประสงค์ด้านความยั่งยืนด้วยการจับมือกับร้านวินเทจตามหัวเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่เน้นรับซื้อสินค้าของตัวเองกลับมาบูรณะใหม่ให้ตรงกับมาตรฐานเดิม เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์เอาไว้อีกทางหนึ่ง
Rolex Certified Pre-Owned (C.P.O.)
หลังเปิดตัวโปรแกรมรีเซลไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยการรับรองนาฬิกา Rolex มือสองที่ผ่านการตรวจสอบ ปรับปรุงใหม่ และตรงตามข้อกำหนดมาตรฐานของแบรนด์ ตอนนี้ Rolex มือสองที่ได้รับการการันตี ก็เริ่มการวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Bucherer ในสวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก และอังกฤษ สังเกตได้ว่านาฬิกา Rolex ในโปรแกรมมือสอง สูงกว่าในช่องทางการขายมือสองอื่นๆ ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับลูกค้ามือใหม่ที่ต้องการความมั่นใจ แต่สำหรับนักสะสมนาฬิกาที่ช่ำชองที่สามารถซื้อผ่านตัวแทนที่รู้จักในราคาที่ดีกว่า โปรแกรมนี้ก็อาจไม่มีผลสักเท่าไร ปัจจุบันผู้ผลิตนาฬิกาอิสระจำนวนหนึ่งก็จัดการโปรแกรมมือสองที่ผ่านการรับรองของตนเองแล้ว เช่น MB&F และ F.P. Journe
Cartier Tradition
Cartier เริ่มต้นโครงการสินค้าวินเทจเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 1996 ในชื่อ Cartier Tradition ส่วนใหญ่จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 20,000 ดอลลาร์ขึ้นไป (ราวๆ 650,000 บาท) และจะแสดงให้กับลูกค้าวีไอพีที่ได้รับเลือกในระหว่างการแสดงเครื่องประดับชั้นสูง โดยทุกชิ้นจะใช้วัสดุที่ถูกต้อง รวมทั้งเทคนิคการผลิตให้เหมือนหรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด แต่ละชิ้นมาพร้อมกับรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ ประวัติการออกแบบ และทุกขั้นตอนของกระบวนการบูรณะที่นำมาใช้
Gucci Vault
พื้นที่ที่รวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ Gucci เอาไว้ด้วยกันในรูปแบบ WEB 3.0 ที่จะมีสินค้านอกเหนือจากที่วางจำหน่ายทั่วไป ทั้งแคปซูลคอลเล็กชัน NFTs ต่างๆ รวมทั้งสินค้าวินเทจที่กลายเป็นของหายากน่าสะสม และบางชิ้นก็จะถูกนำมาปรับใหม่ด้วยวัสดุที่ร่วมสมัยมากขึ้นอีกด้วย
Balenciaga Re-Sell Program
Balenciaga ร่วมกับ Reflaunt ทำโปรแกรมขายต่อ โดยลูกค้าสามารถฝากสินค้ามือสองในร้านที่ร่วมรายการ จากนั้นผลิตภัณฑ์จะได้รับการรับรองความถูกต้อง กำหนดราคา ถ่ายภาพ และลงรายการในเครือข่ายของ Reflaunt ซึ่งมีแพลตฟอร์มการขายต่อรองมากกว่า 25 แพลตฟอร์ม เมื่อซื้อ-ขายสินค้าแล้ว ลูกค้าสามารถรับชำระด้วยเงินสดหรือแลกรับเครดิตร้านค้าในมูลค่าที่สูงขึ้น 20% และใช้เครดิตได้ที่ร้าน Balenciaga 15 แห่ง
Valentino Vintage
แบรนด์แฟชั่นจากอิตาลีเปิดตัวโครงการรับซื้อคืนสินค้าวินเทจในชื่อ Valentino Vintage โดยลูกค้าสามารถนำสินค้าของ Valentino ไปยังร้านบูติกที่รวมโครงการทั้ง Madame Pauline Vintage (มิลาน), The Vintage Dress (โตเกียว), New York Vintage (นิวยอร์ก) และ Resurrection Vintage (ลอสแอนเจลิส) เพื่อรับการประเมินและนำมาแลกกับของอื่นๆ โดยมีจุดประสงค์ทั้งตอบสนองความต้องการของมือสองที่เพิ่มขึ้นและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง:
- https://www.voguebusiness.com/companies/the-hard-luxury-resale-race-heats-up#:~:text=Retailers%20and%20brands%20of%20all,key%20to%20long%2Dterm%20success
- https://finance.yahoo.com/news/cartier-vintage-program-restores-resells-160000642.html
- https://www.nytimes.com/2023/01/18/fashion/watches-rolex-resales.html
- https://www.highsnobiety.com/p/valentino-vintage/
- https://www.highsnobiety.com/p/balenciaga-resell-resale-program/
- https://luxe.digital/business/digital-luxury-reports/luxury-resale-transformation/