“คนเดินห้างน้อยลง” เป็นประโยคที่มักจะได้ยินกันมากขึ้นในแวดวงค้าปลีกช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่ต่างต้องปรับตัวให้ทันพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับ ‘เดอะมอลล์’ ที่อยู่ระหว่างการยกเครื่องครั้งใหญ่ ซึ่งได้ใช้การเพิ่มลานจอดรถและการขยายห้องน้ำให้กว้างขวางขึ้น มาเป็นหนึ่งในแม่เหล็กที่จะทำให้ลูกค้าได้ใช้เวลาเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่การรีโนเวตเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ในรอบ 30 ปี ด้วยงบ 4 พันล้านบาท ให้เป็นเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน โดยได้ปรับซูเปอร์มาร์เก็ตจากโฮม เฟรช มาร์ท มาเป็นกูร์เมต์ มาร์เก็ต ให้เทียบเท่ากับสาขาสยามพารากอน, เพิ่มพื้นที่นั่งส่วนกลาง, เพิ่มห้องน้ำ และเพิ่มที่จอดรถจาก 2,200 คัน เป็น 3,500 คัน ถัดมาเป็นเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ที่รีโนเวตเสร็จสิ้นในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
“การเพิ่มลานจอดรถเป็นสิ่งสำคัญ เพราะด้วยฐานลูกค้าหลักเป็นครอบครัว ส่วนใหญ่จึงเดินทางด้วยรถส่วนตัว” วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว “ส่วนห้องน้ำนอกจากจะทำให้ถูกใจลูกค้าที่ชอบถ่ายรูปแล้ว ยังเป็นการปรับตามลูกค้าบางส่วนที่มักจะไปเข้าห้องน้ำที่บ้าน เพราะสะดวกใจมากกว่า แต่เมื่อทำให้ตอบโจทย์ ลูกค้าก็จะอยู่นานขึ้น”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- นี่คือยุคของปลาเร็วและสมาร์ท! เจาะเบื้องหลังการยกเครื่องใหญ่ในรอบ 30 ปี ของ ‘เดอะมอลล์งามวงศ์วาน’ ภายใต้การทุ่มงบ 4 พันล้านของเดอะมอลล์
- เดอะมอลล์เคาะฤกษ์เปิดโฉมใหม่ ‘เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ’ 2 ธันวาคมนี้ ส่วนบางแคและบางกะปิคาดปรับโฉมเสร็จภายในปี 2566
- ไม่หวั่นชิงลูกค้ากันเอง! The Mall เทเงิน 1.5 หมื่นล้าน สร้าง ‘ดิ เอ็มสเฟียร์’ เปิดปลายปี 2566 สร้างจุดต่างด้วยแบรนด์กระแส-บันเทิงจับคนรุ่นใหม่กำลังซื้อสูง
หลังการระบาดของโควิดทำให้ลูกค้าบางส่วนเลี่ยงที่จะออกมานอกบ้านหรือรีบไปรีบกลับ ทำให้การใช้เวลาในห้างลดลง แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น สามารถกินอาหารในร้านได้แล้ว ทำให้ลูกค้าของเดอะมอลล์ได้ใช้เวลาเพิ่มขึ้นจากไม่ถึงชั่วโมงมาเป็น 1 ชั่วโมง 20 นาทีต่อครั้งแล้ว
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปของเดอะมอลล์คือ การปรับโฉมสาขาบางแคและบางกะปิ โดยจะทำพร้อมๆ กัน และตั้งเป้าหมายให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2567 เพื่อให้ทันช่วงสิ้นปีที่ผู้คนมักจะออกมาจับจ่ายใช้สอย
สำหรับสิ้นปีนี้เดอะมอลล์ใช้งบกว่า 3 ร้อยล้านบาททำแคมเปญ The Great Happy New Year 2023 โดยหวังจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อช่วงปลายปี 2565 และช่วยเพิ่มทราฟฟิกภายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กว่า 30%
พร้อมกันนี้ ยังได้ตั้งเป้าว่าจะปิดยอดขายจากแคมเปญปีใหม่รวมกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งปกติแล้วไตรมาส 4 ของปีจะเป็นช่วงที่มียอดขายมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนราว 30-35% ด้วยกัน
“ในภาพรวมยอดขายจากห้างของเดอะมอลล์ได้ตั้งเป้า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ภาพรวมในตอนนี้กำลังซื้อดีขึ้นแล้ว โดยเฉพาะแฟชั่นและเครื่องสำอางที่เราเห็นลูกค้าออกมาจับจ่ายกันแล้ว
“ยอดใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มขึ้นราว 10% ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ส่วนลูกค้าที่เดินเข้าห้างยังไม่ 100% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งฐานหลักอย่างจีนนั้นหายไปเลย แต่ยังดีที่ได้กลุ่มมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาทดแทนได้บ้าง
“ความท้าทายในปีหน้าคือ การที่ราคาน้ำมันอาจสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อต้นทุนของสินค้าต่างๆ โดยเดอะมอลล์จะตรึงราคาไว้ให้มากที่สุด นอกจากนี้ปีหน้าจะทำอีเวนต์มากขึ้น เพื่อดึงให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาในห้างของเรา” วรลักษณ์กล่าวทิ้งท้าย