ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีเศษ ช่วงที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) สั่งลงโทษด้วยการห้ามลงแข่งขันในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นเวลา 2 ปี เป็นช่วงที่ทำให้เกิดความระส่ำระสายอย่างหนักภายในทีม โดยเฉพาะกับความรู้สึกของนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์หลายคน
หนึ่งในคนที่ตกเป็นข่าวว่าอาจจะพิจารณาอนาคตหากจะไม่มีโอกาสได้ลงเล่นในถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปคือ เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางตัวเทพ ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในทีม และอาจจะเป็นนักฟุตบอลที่เหนือชั้นที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้
เพราะสถานการณ์เวลานั้นคือ เดอ บรอยน์ กำลังเข้าสู่ช่วงพีกของชีวิตการเล่น และเขาไม่จำเป็นต้องทิ้งขว้างมันไปกับทีมที่กำลังระส่ำระสาย ซึ่งช่วงฤดูกาลที่แล้วแมนฯ ซิตี้ ผลงานตกต่ำลงอย่างมาก จนหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังพ้นครึ่งทางของฤดูกาลได้ไม่นาน
บาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด และทุกสโมสรใหญ่ ต่างจับตาสถานการณ์ของมิดฟิลด์สมองเพชรชาวเบลเยียมอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย แมนฯ ซิตี้ เป็นผู้ชนะในการอุทธรณ์คดี ทำให้อนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) กลับคำตัดสินให้พวกเขารอดพ้นจากโทษแบน ทีมกลับมารวมพลังกันใหม่กลายเป็น ‘เรือใบสีฟ้า 2.0’ ที่โหดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเก่า และวันนี้เดอ บรอยน์ ไม่จำเป็นต้องแบกรับทีมเพียงลำพังอีกต่อไป
สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทำให้กองกลางวัย 29 ปี เริ่มคลายความกังวลใจและพร้อมเปิดใจสำหรับการเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร
และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจรจากัน ตามการเปิดเผยของ The Athletic สื่อกีฬาคุณภาพระดับโลก
ในการต่อสัญญาฉบับใหม่ สิ่งที่เดอ บรอยน์ เรียกร้องจากแมนฯ ซิตี้ มีด้วยกัน 2 ข้อ ซึ่งหากสโมสรยินดีที่จะให้ได้ เขาก็ยินดีที่จะจรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่ (แม้ว่าสัญญาเดิมจะมีถึงปี 2023 ก็ตาม)
ข้อแรก สโมสรจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีความสำคัญต่อทีมแค่ไหน โดยพิสูจน์ผ่านค่าตอบแทนที่เขาได้รับที่จะต้องสูงขึ้น
ข้อสอง สโมสรจะต้องพยายามทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ เพื่อคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกให้ได้
ความจริงแล้วการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นกันตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา เพียงแต่การเจรจาเป็นไปอย่างล่าช้าและติดขัด โดยหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกันไม่ไหลลื่นคือข่าวเรื่องการที่แมนฯ ซิตี้ คิดที่จะเจรจาดึง ลิโอเนล เมสซี มาร่วมทีมตั้งแต่ช่วงปิดฤดูกาลที่แล้ว
โดยที่สโมสรพร้อมที่จะจ่ายให้ ‘คนใหม่’ อย่างเมสซี มากมายมหาศาลกว่าที่ ‘คนเก่าแก่’ อย่างเดอ บรอยน์ ได้รับ
ที่แย่กว่าคือ ในข้อเสนอใหม่จากซิตี้ที่ยื่นมาให้ในช่วงเดือนมกราคม เมื่อคำนวณรวมกับเงินโบนัสทั้งหมดแล้วกลับน้อยกว่าสัญญาฉบับเดิมที่เดอ บรอยน์ มีอยู่เดิมเสียอีก และไม่แปลกที่เขาจะบอกว่าข้อเสนอไม่เป็นที่น่าพอใจ
แต่โชคดีสำหรับซิตี้ที่เดอ บรอยน์ ยังมีความสุขดีกับทีม เขาไม่ได้เก็บเรื่องพวกนี้มาคิดมากนัก ขอเพียงแค่สโมสรพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีค่าแค่ไหนกับทีมได้เขาก็พอใจ
สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การเจรจาทั้งหมดนี้ไม่มีเอเจนต์คนกลางที่ไหนเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่คนเดียว เนื่องจาก แพทริก เดอ คอสเตอร์ อดีตเอเจนต์ของเขา ถูกจับกุมตัวในข้อหาการฟอกเงินและปลอมแปลงเอกสาร
คนที่เดอ บรอยน์ ต้องการให้ช่วยมีเพียงแค่ที่ปรึกษาทางกฎหมาย 2 คน คือ ดาน บุยแลร์ต และ สเวน เดเมอเลมีสเตอร์ จากบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย Altius ในกรุงบรัสเซล ที่บ้านเกิดในเบลเยียม ซึ่งทั้งสองคนไม่เคยมีโอกาสได้พบหรือพูดคุยกับสตาร์เรือใบด้วย แค่เพียงช่วยดูร่างสัญญาให้ถูกต้องเท่านั้น
นอกนั้นเดอ บรอยน์ เป็นคนจัดแจงเจรจาทุกอย่างด้วยตัวเอง (ซึ่งซิตี้ก็ไม่เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน!) และเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวด้วย ในทางตรงกันข้าม กองกลางผู้ที่ชวนให้คิดถึง เดวิด เบ็คแฮม และ ซีเนดีน ซีดาน ในคนเดียวกัน กลับเปิดเกมรุกในการเจรจา
ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เขาลงทุนจ้างทีมวิเคราะห์ข้อมูลมืออาชีพเพื่อหาคำตอบในทุกเรื่องที่เขาอยากรู้ โดยเฉพาะ 2 ข้อสรุปที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ
- เขาทำประโยชน์ให้กับทีมได้มากแค่ไหน
- โอกาสที่ทีมจะประสบความสำเร็จต่อเนื่องในระยะยาว
คำตอบที่เดอ บรอยน์ ได้รับจากทีมวิเคราะห์คือ เขายังเป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญต่อทีมอยู่ และนอกจากแมนฯ ซิตี้ ไม่มีทีมใดที่จะเหมาะสมกับเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว
หลังได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ทำให้ท่าทีในการเจรจาผ่อนคลายลง ซึ่งหลังจากที่พูดคุยกันอย่างติดๆ ขัดๆ มาพักใหญ่ ในที่สุดก็ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเริ่มจูนหาคลื่นที่ตรงกันได้เสียทีในช่วงเริ่มต้นของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ข้อตกลงทุกอย่างแทบจะจบตั้งแต่ก่อนเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ในเรื่องของตัวเลขค่าตอบแทนนั้นซิตี้ปรับเพิ่มขึ้นได้มากจนเขาพอใจ โดยเดิมเดอ บรอยน์ ก็ได้รับค่าตอบแทนสูงอยู่แล้วในหลัก 232,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ไม่นับโบนัสต่างๆ ที่รวมเบ็ดเสร็จอาจจะสูงถึง 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ รวมถึงเงินกินเปล่าค่าเซ็นสัญญาอีก 10 ล้านปอนด์ และส่วนแบ่งในเรื่องของลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ (Image Rights)
สำหรับตัวเลขในสัญญาใหม่เป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่า เขาคือคนสำคัญของทีม ซึ่ง The Times มีการเปิดเผยว่าตัวเลขอยู่ที่สัปดาห์ละ 385,000 ปอนด์ แซงหน้า ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้รับอยู่ที่ 375,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ส่วนเรื่องโอกาสที่ทีมจะประสบความสำเร็จในรายการใหญ่อย่างแชมเปียนส์ลีก เดอ บรอยน์ ได้พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของสโมสร และได้รับทราบถึง ‘ผู้เล่นที่เป็นเป้าหมาย’ ของสโมสรแล้ว ซึ่งสิ่งที่ได้ยินทำให้เขาไม่มีอะไรต้องติดใจอีก
แมนฯ ซิตี้ ศีลเสมอกับเขา ความทะเยอทะยานเท่ากัน ยังไปด้วยกันได้
เช่นนั้นทุกอย่างจึงได้บทสรุปอย่างรวดเร็วในวันจันทร์ ก่อนที่เดอ บรอยน์ จะลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับใหม่ที่ขยายระยะเวลาเพิ่มอีก 2 ปีไปจนถึง 2025 และจะทำให้เขาอยู่ในเอติฮัด สเตเดียม ไปถึงอายุ 34 ปี อยู่ในวัยที่เขาน่าจะเดินทางต่อหาที่หมายสุดท้ายในชีวิต หรือไม่ก็เลิกเล่นได้แบบไม่มีอะไรต้องติดใจกันอีก
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการเจรจาในครั้งนี้คือ ทักษะในการเจรจาของเดอ บรอยน์ ที่มีเป้าหมายชัดเจน ใจเย็นมากพอ ตัดคนกลางออก ทำให้ไม่มีปัจจัยแวดล้อมอื่นในการเจรจา นอกจากความต้องการระหว่างเขาและสโมสร
และมีการนำเรื่อง Data Analytics มาใช้ช่วยวิเคราะห์หาคำตอบ
“การต่อสัญญาในวัยนี้ของผม (29 ปี) เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจ เพราะมันหมายความว่าพวกเขายังเชื่อใจผมไปจนกระทั่งผมเริ่มแก่จริงๆ” เดอ บรอยน์ กล่าวหลังการต่อสัญญา
ช่างปราดเปรื่องและเยือกเย็น สมเป็น ‘KDB’ จริงๆ! 🙂
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: