×

Remi, Nobody’s Boy เรื่องเล่าของหนุ่มน้อยเสียงมหัศจรรย์ที่ขับกล่อมให้ทุกคนเชื่อมั่นในความฝันด้วยเสียงเพลง

13.06.2019
  • LOADING...
Remi, Nobody’s Boy

 

Remi, Nobody’s Boy

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลังเลกับความฝัน ตั้งคำถามกับชะตาชีวิตที่ไม่เป็นอย่างใจ และได้แต่เฝ้าสงสัยว่า ‘ความพยายาม’ ในสิ่งที่ทำอยู่จะพาตัวเราไปสู่อนาคตที่สดใสได้จริงหรือเปล่า เรื่องราวระหว่างทางของ เรมี่ (มาลูม พาควิน) หนูน้อยช่างฝันจาก Remi, Nobody’s Boy อาจทำให้ความเลือนรางบางอย่างเห็นภาพชัดขึ้นมาได้

 

Remi, Nobody’s Boy คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจาก Sans Famille วรรณกรรมคลาสสิกเหนือกาลเวลาของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1878 แต่เรื่องราวในนั้นไม่เคยล้าสมัย โดยถูกนำมาเล่าผ่านรูปแบบต่างๆ ทั้งละคร การ์ตูน และภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง โดยได้ อองตวน บลอสซิเยร์ ที่เปลี่ยนแนวจากหนังแอ็กชันสยองขวัญอย่าง Prey และหนังตลกอย่าง The Grad Job มาเป็นหนังฟีลกู๊ดสร้างแรงบันดาลใจเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวในครั้งนี้

 

Remi, Nobody’s Boy

 

เนื้อเรื่องหลักๆ โฟกัสไปที่ช่วง Coming of age ของเรมี่ที่เปิดตัวด้วยการขับกล่อมโลกด้วยบทเพลงประจำตัวอยู่กลางทุ่งกว้างบรรยากาศสดใส ก่อนเปลี่ยนเป็นชีวิตที่ถูกโหมด้วยพายุกระหน่ำ เริ่มต้นด้วยการจากลาของเพื่อนสนิท พร้อมกับความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง

 

Remi, Nobody’s Boy

 

โดยมี วิตาลิส (ดาเนียล โอเตย์) ชายปริศนาเจ้าของคณะละครเร่ที่ชวนให้เรมี่มาเดินสายโชว์การแสดงด้วยกันไปพร้อมๆ กับ กาปี สุนัขแสนรู้ และ โจลิเกอร์ ลิงผู้ช่วยแสนซน ทำให้เรมี่ไม่ต้องไปใช้ชีวิตในบ้านเด็กกำพร้า และมอบ ‘บทเรียน’ สำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล

 

หนึ่งในประเด็นสำคัญของ Remi, Nobody’s Boy คือมนุษย์ทุกคนมีความสามารถซ่อนอยู่ หากแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสในการแสดงสิ่งนั้นออกมา วิตาลิสไม่เพียงเข้ามาดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเรมี่ให้ดีขึ้น แต่เปรียบเสมือนเจ้านาย พ่อ เพื่อน และคุณครูที่ค้นพบพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงของเรมี่ ทั้งยังช่วยผลักดันให้หนูน้อยที่เคยได้แต่ฝันมุ่งมั่นและลงมือคว้าความฝันด้วยตัวเอง

 

ส่วนหนึ่งเป็นการแก้ปมในอดีตที่วิตาลิสเคยเป็นศิลปินชื่อดังที่ถูกความโลภและความหลงระเริงครอบงำจนต้องสูญเสียครอบครัวที่สำคัญที่สุดไปตลอดกาล เขาจึงพยายามทำทุกอย่างให้เรมี่ประสบความสำเร็จ และไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ‘ครอบครัว’ ไปแบบตัวเขาในวันวาน

 

Remi, Nobody’s Boy

 

ความสัมพันธ์ระหว่างการเดินทางของเรมี่และวิตาลิสที่กราฟชีวิตพลิกผันสลับไปมาทั้งดีและร้าย โดยมีสถานที่ถ่ายทำที่สวยงามราวภาพวาดในเทพนิยายมาช่วยขับเงาสะท้อนที่ว่า หากคุณยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง วัฏจักรแห่งความทุกข์และสุขที่ไม่อาจคาดคั้นให้เป็นอย่างใจคือสัจธรรมที่ทุกชีวิตไม่อาจหลีกเลี่ยง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถยึดมั่นและทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเดินตามเส้นทางความฝันโดยไม่หวั่นไหวไปได้นานเท่าไร

 

Remi, Nobody’s Boy

 

เราสามารถสปอยล์ไปถึงช่วงสุดท้ายของหนังได้ว่า Remi, Nobody’s Boy ก็เดินทางตามสูตรหนัง Coming of age ที่ฟีลกู๊ด ลงท้ายด้วยความแฮปปี้เอนดิ้ง เพราะสิ่งสำคัญของเรมี่ไม่ควรโฟกัสแค่เพียงตอนจบ

 

แต่เป็นแนวคิดที่เรมี่แสดงให้เราเห็นผ่านการเดินทางตลอดทั้งเรื่อง ที่ไม่ว่าวันนั้นท้องฟ้าจะงดงามด้วยแสงของพระอาทิตย์ ถูกเมฆบังจนฟ้าครึ้มหม่น หรือถูกฝนกระหน่ำจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า แต่เขาก็ยังขับขานบทเพลงต่อไปไม่หยุด เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่เขารักและทำได้ดีที่สุด โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตที่รออยู่จะสดใสอย่างที่ใจคิดหรือเปล่า

 

เช่นเดียวกับวิตาลิสที่ผลักดันและสนับสนุนเรมี่แบบไม่มีข้อสงสัย ความสำเร็จของเรมี่ในตอนสุดท้ายจึงเป็นการ ‘เติมเต็ม’ ช่องว่างของชายผู้ที่วางความฝันเอาไว้ข้างหลังให้กลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง

 

ถึงแม้บางช่วงของหนังอาจจะดำเนินเรื่องช้าจนชวนให้หลับอยู่บ้าง แถมยังขาดความตื่นเต้น เพราะเดาทุกอย่างได้เกือบทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าประเด็น ‘ความพยายามไม่เคยทรยศใคร’ เป็นเมสเสจสำคัญที่ช่วยปลุกไฟในหัวใจที่เกือบมอดดับได้ดีจริงๆ

 

ภาพ: Remi, Nobody’s Boy

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising