×
SCB Omnibus Fund 2024

กูรูย้ำหุ้นจีนน่าลงทุนในระยะยาว แต่ระยะสั้นยังผันผวนจาก ‘Regulatory Risk’ แนะเทน้ำหนักใน A-Share เหตุรับผลกระทบน้อยกว่า

12.09.2021
  • LOADING...
Regulatory Risk

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ตลาดหุ้นจีนปีนี้เผชิญหน้า ‘Regulatory Risk’ มาตั้งช่วงต้นปี สะท้อนจาก CSI 300 ที่สะดุดเป็นระยะๆ เมื่อทางการจีนเข้าควบคุมกลุ่มผู้นำในตลาดต่างๆ 
  • เมื่อเร็วๆ นี้ มุมมองของนักลงทุนสถาบันและเฮดจ์ฟันด์ระดับโลกเริ่ม ‘เสียงแตก’ อย่างชัดเจน โดย BlackRock เข้าปักธงธุรกิจกองทุนรวมในจีน สวนทาง ARK ที่ชิงลดน้ำหนักลงทุนเทคฯ จีนไปเมื่อไม่นานมานี้
  • ผู้เชี่ยวชาญตราสารทุนต่างประเทศย้ำไม่ควรมองข้ามหุ้นจีน แม้ ‘Regulatory Risk’ ยังไม่สงบเร็วๆ นี้ ชูกองทุนหุ้นจีน A-Share โดดเด่น

ตลาดหุ้นจีนปี 2564 ดูเหมือนจะเป็นคนละภาพกับปี 2563 ที่ดัชนีเป็นขาขึ้นชัดเจน โดยดัชนี CSI 300 ปัจจุบันเทียบกับต้นปีปรับลดลงมาแล้ว -4.82% และหากเทียบกับจุดสูงสุดของปี (ระดับ 5,807 จุด เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์) พบว่าดัชนีร่วงลงมาแล้ว -13.67% 

 

สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีปรับฐานครั้งใหญ่ในช่วงต้นปี และพักฐานเป็นระยะ เนื่องจากรัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมและปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่างๆ ของภาคธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากกลุ่มเทคโนโลยี ลุกลามมากลุ่มการศึกษาและเกมออนไลน์ ขณะที่มีข้อมูลจากหลายที่เริ่มคาดการณ์ว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคารก็อาจจะถูกเข้าควบคุมในเร็วๆ นี้ 

 

ความโกลาหลที่ทางการจีนก่อขึ้นทำให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศปรับท่าทีการลงทุนในตลาดหุ้นจีน นำโดย ​​Ark Innovation ETF ซึ่งเป็นกองทุนที่บริหารโดย แคธี วูด ที่ชิงปรับลดน้ำหนักการถือครองหุ้นบริษัทเทคโนโลยีของจีนลงสู่ระดับต่ำกว่า 1% จากระดับ 8% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา 

 

ขณะที่กองทุน Ark Next Generation Internet ETF ได้ลดการถือครองหุ้นบริษัทเทคโนโลยีจีนลงเหลือ 5.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ส่วนกองทุน ETF ของ Ark ที่มุ่งเน้นลงทุนในเทคโนโลยีด้านการเงิน (ฟินเทค) ยังคงถือครองหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในระดับเดิมที่ 18%

 

โดย แคธี วูด ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศว่า “นี่เป็นเรื่องของการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเมื่อพิจารณาในแง่ของมูลค่าแล้ว คิดว่าหุ้นเหล่านี้มีมูลค่าลดลง และมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง” และระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าการลดน้ำหนักลงทุนของ Ark ครั้งนี้ รวมถึงบริษัท เทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และ JD.com ด้วย แต่ล่าสุด แคธี วูด เองก็เริ่มที่จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนบ้างแล้ว

 

นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนชื่อดังในนิวยอร์ก ที่มีทรัพย์สินอยู่ในการดูแลกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกมาระบุว่า จีนไม่ควรถูกมองว่าเป็นตลาดเศรษฐกิจกำลังพัฒนา หรือ Emerging Market อีกต่อไป พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์จีนได้ถึง 3 เท่าจากปัจจุบัน และล่าสุด BlackRock ยังได้ปักธงรุกธุรกิจกองทุนรวมในประเทศจีนอีกด้วย 

 

ศรชัย สุเนต์ตา CFA ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB-CIO และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า บล.ไทยพาณิชย์ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในระยะกลาง-ยาว หรือมากว่า 1-2 ปี เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจและกำลังซื้อของจีนจะเป็นพลวัตสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของโลก โดยมองว่าการเข้ามาควบคุมและปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับภาคธุรกิจ ไม่ได้มีเจตนาให้ภาคธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ แต่เพื่อปรับโครงสร้างเชิงสังคมครั้งใหญ่ เป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชากรชนชั้นกลางของประเทศซึ่งมีอยู่จำนวนมาก 

 

“เรื่องการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือการเข้าควบคุมธุรกิจโดยทางการจีน จะเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะยาวของตลาดหุ้นต่ออีกระยะ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร แต่หากดูที่เจตนาของรัฐบาลแล้วจะพบว่า รัฐต้องการเข้ามาจัดระเบียบภาคธุรกิจเพื่อปรับโครงสร้างทางสังคมให้เหมาะสมกับการเติบโตระยะยาว ในระยะกลาง-ยาว ตลาดจีนไม่ใช่ตลาดที่จะเพิกเฉยได้ แต่ในระยะสั้นๆ ก็ยังคงเป็นตลาดที่ความผันผวนสูงอยู่ และช่วงนี้ยังจะปรับฐานอย่างต่อเนื่อง” 

 

ทั้งนี้ หากนักลงทุนเชื่อมั่นใจโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน สามารถเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนในจังหวะนี้ได้ โดยแนะนำให้เลือกกองทุนหุ้นจีนที่เน้นลงทุนใน A-Share เนื่องจากในตลาดหุ้น A-Share นั้นมีส่วนผสมของหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและกำลังซื้อในประเทศเป็นส่วนมาก เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น ทำให้ได้รับผลกระทบจาก Regulatory Risk น้อยกว่า

 

โดย บล.ไทยพาณิชย์ แนะนำกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ KT-CHINA-A 

 

ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นระยะกลางในตลาดหุ้นจีนนั้นยังมีอยู่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหุ้นจีนปรับตัวลดลงจาก Regulatory Risk มาค่อนข้างมาก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ หุ้น A-Share ก็รีบาวด์ขึ้นมาจนใกล้กับดัชนีช่วงต้นปีแล้ว สะท้อนว่าตลาดรับรู้ความเสี่ยงเรื่องนี้ไปแล้ว 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เข้าลงทุนตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ จังหวะนี้อาจไม่ใช่จังหวะขาย เพราะผลตอบแทนอาจจะติดลบมาระดับหนึ่ง จึงแนะนำให้ถือลงทุนต่อเพื่อรับผลตอบแทนในระยะยาว 

 

“ตอนนี้มุมมองต่อตลาดหุ้นจีนในสายตานักลงทุนสถาบันและกองทุนป้องกันความเสี่ยงระดับโลก กำลังแตกออกเป็น 2 ทาง ดังนั้นในการพิจารณานักลงทุนก็ต้องดู Time Frame การลงทุนของตัวเองว่ามีระยะเวลาในการลงทุนเท่าไร มีการกระจายความเสี่ยงมากแค่ไหน และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เท่าทันนักลงทุนรายใหญ่หรือไม่” 

 

ปิยะภัทร์กล่าวเพิ่มว่า ใน 2-3 เดือนจากนี้ มองว่า Emerging Market (EM) จะน่าสนใจมากขึ้น หลังจากการทำ QE Tapering ของ Fed ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะไม่เกิดขึ้นในเดือนนี้ แต่น่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนมากกว่า ทำให้ความเสี่ยงจากการที่ฟันด์โฟลว์จะไหลออกจาก EM ลดลง ประกอบกับสถานการณ์โควิด และการกระจายวัควีนในเอเชียก็ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นจังหวะลงทุนในตลาดหุ้นจีนเช่นกัน 

 

โดยแนะนำกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนใน A-Share ดังนี้ 

  1. กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง China A Active หรือ TMB-ES-CHINA-A
  2. กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง China A Active หรือ T-ES-CHINA A 
  3. กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ KT-CHINA-A

 

ด้าน อภิวัฒน์ น้าประทานสุข ผู้บริหารกลยุทธ์ด้านการลงทุน ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบของทางการจีนยังไม่จบเร็วๆ นี้ และมีแนวโน้มที่จะเข้าควบคุมภาคธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าควบคุมและเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของธุรกิจด้านเทคโนโลยี การศึกษา และสุขภาพไปแล้ว โดยมีแหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ประเมินว่าทางการจีนเองกำลังเตรียมจะเข้ามากำกับดูแลและปรับปรุงกฎระเบียบกลุ่มธนาคารจีนด้วย 

 

ทั้งนี้ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงจากการลงทุนในจีนทั้งหมด ทั้ง A-Share, H-Share  เนื่องจากตลาดจีนมีความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบและนโยบายต่างๆ 

 

โดยแนะนำให้รอติดตามความชัดเจนอีก 2-3 เดือนจากนี้ และเริ่มกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนอีกครั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะตลาดจีนจะปรับลดลงทำจุดต่ำสุดพอดี และน่าจะรีบาวด์ขึ้นในต้นปี 2565 หลังจากกฎระเบียบต่างๆ เริ่มนิ่งมากขึ้น นอกจากนี้ในช่วงต้นปี ตลาดหุ้นจีนมักจะรีบาวด์ขึ้นมาเพื่อสอดรับเทศกาลตรุษจีนอีกด้วย โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีนเพียง 10% ของพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศ 

 

Regulatory Risk

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising