×

เรอัล มาดริด VS. ลิเวอร์พูล เทียบความได้เปรียบก่อนนัดชิงฯ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

25.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • นัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะเป็นการดวลกันระหว่างแชมป์เก่าสองสมัยล่าสุด เรอัล มาดริด พบกับ ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า 5 สมัย ซึ่งหลายฝ่ายยกให้เรอัล มาดริดมีความได้เปรียบ ส่วนลิเวอร์พูลแม้ว่าจะเป็นรองแต่ก็มีโอกาสสร้างปาฏิหาริย์ได้เช่นกัน
  • 5 ตัวแปรสำคัญก่อนที่ทั้งสองทีมจะลงสนาม เรอัล มาดริดมีความได้เปรียบในเกือบทุกด้าน ขณะที่ลิเวอร์พูลมีเพียงความเด็ดขาดในจังหวะสำคัญ และสมาธิในเกมใหญ่ ซึ่งเจอร์เกน คล็อปป์ เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลมีพร้อมสำหรับนัดชิงในครั้งนี้
  • แม้ว่ามาดริดจะได้เปรียบทั้งประสบการณ์และชื่อชั้นของนักเตะ แต่ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันของลิเวอร์พูล และเกมรุกของทั้ง มาเน ฟีร์มิโน และซาลาห์ ทำให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะเป็นนัดชิงที่สนุก ดุเดือด และพลาดไม่ได้อย่างแน่นอน

ก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดแรกเพื่อเริ่มต้นการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ​ ซึ่งเรอัล มาดริด แชมป์เก่าสองสมัยล่าสุด และเจ้าของแชมป์ 12 สมัย จากสเปน จะลงสนามพบกับลิเวอร์พูล ในคืนวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ เวลา 1.45 น. ตามเวลาประเทศไทย

 

THE STANDARD จะไปเปรียบเทียบ 5 ตัวแปรสำคัญก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นมาดริดที่สามารถไปสู่แชมป์ยุโรปสามสมัยติดต่อกันเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ปี 1976 หรือลิเวอร์พูลจะสามารถกลับมาทวงแชมป์ยุโรป เป็นสมัยที่ 6

 

ความพร้อมในการรับมือเกมใหญ่

 

 

แน่นอนว่าข้อนี้หลายฝ่ายยกให้ เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งเมื่อลองไล่รายชื่อ จะพบว่านักเตะแต่ละคนต่างมีประสบการณ์คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยล่าสุด รวมถึงผ่านทีมแชมป์ลีกต่างๆ ในรอบน็อกเอาต์ของฤดูกาลที่ผ่านมาจนเข้าสู่รอบชิงได้สำเร็จ

 

 

แต่เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูลออกมายืนยันว่า ประสบการณ์ไม่สำคัญเท่าความสามารถในการรับมือแรงกดดันในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้  ด้วยการเปลี่ยนแปลงทีมของคล็อปป์ที่เพิ่มความเด็ดขาด และสมาธิของนักเตะคนสำคัญ

 

ตั้งแต่กองหน้า โรแบร์โต ฟีร์มิโน เจมส์ มิลเนอร์ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค แต่เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่น และสมาธิที่พร้อมนำพาทีมไปสู่ปาฏิหาริย์ให้ได้เหมือนที่รุ่นพี่พวกเขาทำไว้ในปี 2005 ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี

เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล  

โรนัลโด VS. ซาลาห์

 

 

เป็นการดวลครั้งสำคัญที่หลายฝ่ายจับตามอง โดยเชื่อว่าฟอร์มการเดินเกมบุกของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และคริสเตียโน โรนัลโด ที่จะถาโถมเข้าใส่แบ็กของคู่แข่ง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่พวกเขาจะสามารถนำพาทีมสู่ความสำเร็จได้ในเกมนี้

 

 

ในเกมรุกของลิเวอร์พูล ซาลาห์จะต้องดวลกับมาร์เซโล แบ็กซ้ายจอมบุกชาวบราซิลที่มักเติมเกมรุกอย่างเมามันจนเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้ได้เดินเกมบุกเข้าใส่ในเกมสวน ขณะเดียวกันซาลาห์ก็อาจต้องลงมาช่วยในเกมรับมากขึ้นหากลิเวอร์พูลโดนกดดันอย่างหนักอยู่ในครึ่งของตัวเอง

 

ขณะที่เกมรุกของมาดริด คริสเตียโน โรนัลโด จะต้องดวลกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาอังกฤษวัย 19 ปีที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้

 

แต่ด้วยสไตล์การเล่นช่วงหลังๆ โรนัลโดไม่ได้สร้างสรรค์ประตูจากการสับขาหลอก และกระชากบอลพากองหลังคู่ต่อสู้ขึ้นรถทัวร์ไปรอบสนาม แต่เขามักจะหาช่องเข้าทำประตูในกรอบเขตโทษ ซึ่งจากรอบน็อกเอาต์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่า เขาอันตรายขนาดไหนเวลาที่ได้รับโอกาสในกรอบเขตโทษ

 

โดยสถิติที่น่าสนใจคือทั้งคู่ยิงไปแล้ว 44 ประตูในทุกรายการเท่ากันในฤดูกาลนี้ แต่เป็นโรนัลโดที่มีสถิติเหนือว่าตรงที่ 44 ประตูมาจากการลงเล่น 43 นัด ขณะที่ซาลาห์เป็น 44 ประตูจากการลงเล่น 51 นัด

 

นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการดวลกันในแดนกลาง ซึ่งจอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะต้องดวลกับ โทนี โครส โดยนักเตะทั้งสองมีความสามารถในการยิงไกล แต่สิ่งสำคัญในเกมนี้คือการสร้างสรรค์เกมในแดนกลาง โดยสถิติของโครสในการแข่งขันรายการนี้ จ่ายให้เพื่อนสำเร็จทั้งหมด 766 ครั้งจาก 811 ครั้ง นับเป็นสถิติสำเร็จที่ 94% ขณะที่เฮนเดอร์สันอยู่ที่ 473 ครั้งจากการจ่ายให้เพื่อนทั้งหมด 552 ครั้ง เปอร์เซ็นต์สำเร็จที่ 86%

 

ซึ่งในเกมนี้ทั้งคู่จำเป็นต้องเรียกฟอร์มเก่งและความแม่นยำในการจ่ายออกมาให้ได้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นการจ่ายพลาดในแดนของตัวเองเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะส่งถ้วยแชมป์ให้อีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ

เรอัล มาดริด 2-1 ลิเวอร์พูล  

ตัวสำรอง

 

 

จุดนี้เป็นส่วนที่เรอัล มาดริดมีความได้เปรียบอย่างชัดเจน ด้วยม้านั่งสำรองที่เต็มไปด้วยนักฟุตบอลชั้นนำอย่าง มาเตโอ โควาซิช, อิสโก, มาร์โก อเซนซิโอ และลูคัส บาสเกซ ที่สามารถลงมาช่วยเปลี่ยนแปลงเกมในช่วงเวลาสำคัญได้

 

ขณะที่ลิเวอร์พูลมีเพียง อดัม ลัลลานา และเอ็มเร ชาน ซึ่งยังไม่ฟิตสมบูรณ์เป็นตัวเลือกบนม้านั่งสำรอง นอกนั้นอาจต้องปรับใช้งานนักเตะอย่าง แดนนี อิงส์ และโดมินิก โซลันเก มาใช้ตามสถานการณ์

เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล  

การต่อสู้ทางแท็กติก

 

 

ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของคล็อปป์ มาในฟอร์มการเล่นแบบ 4-3-3 และมอบหมายให้นักเตะในแดนหน้าสร้างความกดดันให้กับเกมรับของมาดริด สลับระหว่างเกมรุก และเกมสวนกลับระหว่างการแข่งขัน

 

ขณะที่มาดริด ทางเลือกทางแท็กติกมีความยืดหยุ่น และคาดเดาได้ยากกว่าด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย โดยพวกเขาสามารถใช้แผน 4-3-3 โดยให้ แกเร็ธ เบล, เบนเซมา และโรนัลโดในเกมรุก แต่หากไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาสามารถปรับจากหน้า 3 มาเป็น 2 ด้วยแผน 4-4-2 ซึ่งทางลิเวอร์พูลต้องสามารถปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในแดนกลางของมาดริดได้ตลอดเวลา

เรอัล มาดริด 4-2 ลิเวอร์พูล  

ความเด็ดขาดของนักเตะ

 

 

ความคาดหวังของทุกคนในเกมนี้คือเกมที่สนุกดุเดือด โดยเป็นเกมที่ทั้งสองทีมเดินหน้าบุกเข้าใส่กัน ซึ่งแม้ว่ารูปเกมจะออกมาในรูปแบบนั้น แต่กองหลังอย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และเซร์คิโอ รามอส ก็ไม่ใช่กองหลังที่สามารถผ่านไปได้ง่ายๆ รวมถึงผู้รักษาประตูของทั้งสองฝ่ายก็โชว์ฟอร์มเซฟให้เห็นกันมาจนถึงรอบชิงฯ ในปีนี้แล้ว

 

ดังนั้นสุดท้ายแล้วทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับความเด็ดขาดในเกมรุกของทั้งสองทีมที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโอกาสสำคัญให้เป็นประตูได้

 

โดยคริสเตียโน โรนัลโด มีสถิติเฉลี่ยการยิงประตูเข้ากรอบในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ 2.7 ครั้งต่อหนึ่งเกม ขณะที่เบนเซมาอยู่ที่ 1.6 ครั้ง ตามด้วยเบลที่ 1.3 ครั้ง โดยพวกเขาทั้ง 3 มีประตูรวมกัน 20 ประตู โดย 15 ประตูมาจากคริสเตียโน โรนัลโด เพียงคนเดียว

 

 

ขณะที่เกมรุกของลิเวอร์พูล ทั้ง ซาดิโอ มาเน โรแบร์โต ฟีร์มิโน และโมฮัมเหม็ด​ ซาลาห์ จำเป็นต้องมีความเด็ดขาดในเกมรุกเพื่อโอกาสครั้งสำคัญในการนำพาลิเวอร์พูลไปสัมผัสแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6

เรอัล มาดริด 5-3 ลิเวอร์พูล

สรุปคะแนน

ด้วยสกอร์นี้เห็นได้ชัดว่าสถิติตัวเลขต่างๆ จะเทให้ทางเรอัล มาดริด เหนือกว่าลิเวอร์พูลอย่างชัดเจนในแทบทุกด้าน แต่ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ก็สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้เราเห็นมาแล้ว ตั้งแต่การเอาชนะทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษในรอบน็อกเอาต์ รวมถึงความมุ่งมั่น และความเชื่อที่เจอร์เกน คล็อปป์ได้ส่งต่อให้กับนักเตะ รวมถึงฟอร์มที่ร้อนแรงของซาลาห์ ทำให้เราเชื่อว่า ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้   

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising