×

เรย์ ดาลิโอ อธิบายถึงผลกระทบจากกำแพงภาษี อาจนำไปสู่ภาวะ Stagflation รุนแรง

03.04.2025
  • LOADING...
เรย์ ดาลิโอ ผู้ก่อตั้ง Bridgewater วิเคราะห์ผลกระทบจากกำแพงภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้ต่อระบบเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน

‘ภาษีศุลกากร’ (Tariff) หรือมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า ‘กำแพงภาษี’ เป็นคำทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังพูดถึงในเวลานี้ หลังจากการประกาศนโยบายใหม่ด้านการค้าระหว่างประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตั้งชื่อวันดังกล่าวว่า ‘Liberation Day’ หรือ ‘วันประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจ’ ของสหรัฐฯ

 

โดยสหรัฐฯ จะเก็บ ภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% จากสินค้าทุกประเทศทั่วโลก เริ่มบังคับใช้ 5 เมษายน 2025 และสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าเก็บภาษีหรือมีมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม จะถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สูงขึ้น มีผลวันที่ 9 เมษายน 2025

 

สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบเฉพาะ เช่น

 

  • เวียดนาม: 46%
  • ไทย: 36%
  • จีน: 34%
  • เกาหลีใต้: 25%
  • ญี่ปุ่น: 24%
  • สหภาพยุโรป (EU): 20%

 

สำหรับไทยโดยสหรัฐฯ ระบุว่า ไทยมีการเก็บภาษีและตั้งกำแพงทางการค้า (รวมทั้งมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี) กับสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 72% ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% หรือสูงกว่าภาษีพื้นฐานเดิม 3 เท่า

 

สำหรับใครที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับคำนี้ เรย์ ดาลิโอ ผู้ก่อตั้ง Bridgewater หนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่ของโลก ได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้ไว้ค่อนข้างน่าสนใจ

 

ผลกระทบของกำแพงภาษี: กลไกการทำงาน

 

โดยหลักแล้วกำแพงภาษีมีกลไกการทำงาน 6 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ 

 

  1. สร้างรายได้ให้กับประเทศที่กำหนดภาษี ซึ่งภาระภาษีนี้จะถูกแบ่งจ่ายระหว่างผู้ผลิตต่างชาติและผู้บริโภคภายในประเทศ (โดยสัดส่วนที่แต่ละฝ่ายจ่ายขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน) ซึ่งทำให้เป็นภาษีที่ดึงดูดให้ใช้

  2. ลดประสิทธิภาพของการผลิตในระดับโลก

  3. ส่งผลให้เกิดภาวะ Stagflation ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของโลก ทำให้ประเทศที่ถูกเก็บภาษีเผชิญภาวะเงินฝืด (Deflation) มากขึ้น ขณะที่ประเทศที่เป็นผู้นำเข้าจะเผชิญกับเงินเฟ้อ (Inflation) มากขึ้น

  4. ทำให้บริษัทภายในประเทศผู้นำเข้าได้รับการปกป้องจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้บริษัทเหล่านี้มีประสิทธิภาพลดลง แต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้หากอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอยู่ผ่านมาตรการทางการเงินและการคลัง

  5. เป็นสิ่งจำเป็นในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจระดับโลก เพื่อรับประกันว่าประเทศจะสามารถผลิตสินค้าจำเป็นได้เอง

  6. สามารถลดความไม่สมดุลของบัญชีเดินสะพัดและบัญชีทุน ซึ่งหมายถึงการลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศและเงินทุนจากต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสงคราม

 

ดาลิโอบอกว่า นี่คือผลกระทบในระดับปฐมภูมิ (First Order Consequences) และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ซึ่งเป็นผลกระทบระดับทุติยภูมิ (Second Order Consequences) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ 

 

  1. ปฏิกิริยาตอบโต้จากประเทศที่ถูกเก็บภาษี

  2. การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

  3. การดำเนินนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง

  4. การเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังของรัฐบาลกลางเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันเหล่านี้

 

หากเจาะลึกลงไปดาลิโอมองว่าผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดขึ้น ได้แก่

 

  1. หากมีการตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ผลที่ตามมาจะเป็น Stagflation ที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น

  2. หากนโยบายการเงินผ่อนคลายลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะลดลง และสกุลเงินจะอ่อนค่าลงในประเทศที่เผชิญแรงกดดันจากเงินฝืด (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของธนาคารกลาง) และ/หรือ ประเทศที่เผชิญเงินเฟ้อสูงจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ดอกเบี้ยแท้จริงสูงขึ้น และสกุลเงินแข็งค่าขึ้น (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของธนาคารกลาง)

  3. นโยบายการคลังอาจถูกปรับให้ผ่อนคลายในประเทศที่มีแรงกดดันเงินฝืด หรือเข้มงวดขึ้นในประเทศที่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อบางส่วน

ดังนั้น ผลกระทบของภาษีศุลกากรจึงเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านเพื่อตัดสินผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่จากผลกระทบปฐมภูมิที่กล่าวไปแล้ว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากผลกระทบระดับทุติยภูมิที่เกิดขึ้นตามมา

 

สิ่งที่แน่นอนในบริบทปัจจุบันและอนาคตคืออะไร?

 

  1. ความไม่สมดุลของการผลิต การค้า และเงินทุน (โดยเฉพาะหนี้สิน) จะต้องลดลงในทางใดทางหนึ่ง เพราะหากปล่อยไว้จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ (ซึ่งหมายความว่าระเบียบการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองโลกจะต้องเปลี่ยนแปลง)

  2. การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและใช้วิธีการที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดแบบเดิม (เช่นเดียวกับที่อธิบายในหนังสือ How Countries Go Broke: The Big Cycle)

  3. ในระยะยาว ผลกระทบด้านการเงิน การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์จะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในคุณภาพของตราสารหนี้และตลาดทุนในฐานะที่เป็นที่เก็บรักษาความมั่งคั่งที่ปลอดภัย ระดับผลิตภาพของแต่ละประเทศ และระบบการเมืองที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ น่าทำงาน และน่าลงทุน

นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการที่

 

  1. ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก

  2. ดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในภาวะแข็งค่า

 

การที่ดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรองของโลกถือเป็นข้อดีอย่างแน่นอน เพราะช่วยให้สหรัฐฯ มีความต้องการต่อหนี้และสินทรัพย์ทางการเงินของตนสูงกว่าที่จะเป็นไปได้หากไม่มีสถานะพิเศษนี้ อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดเป็นผู้กำหนดสภาวะนี้ ก็ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากสถานะพิเศษนี้ผ่านการกู้ยืมเกินตัว ซึ่งนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน (เช่น ความจำเป็นในการลดความไม่สมดุลด้านสินค้า บริการ และเงินทุน การต้องใช้มาตรการพิเศษเพื่อลดภาระหนี้ และการลดการพึ่งพาต่างประเทศในภาวะที่เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์)

 

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดว่าค่าเงินหยวน (RMB) ของจีนควรแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดที่สหรัฐฯ และจีนสามารถตกลงกันได้ในข้อตกลงด้านการค้าและเงินทุน โดยเฉพาะหากมีการเจรจากันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีน เช่น ทรัมป์และสีจิ้นผิง ทั้งนี้ มาตรการที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดและไม่ใช่ทางเศรษฐศาสตร์แบบปกติ จะส่งผลกระทบเฉพาะตัวต่อแต่ละประเทศ และจะทำให้เกิดผลกระทบระดับทุติยภูมิที่กล่าวถึงข้างต้น เพื่อช่วยลดแรงกระแทกของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising