ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ‘ธงสีรุ้ง’ กลายเป็นสัญลักษณ์สากลที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจของชุมชน LGBTQIA+ ทั่วโลก โดยประวัติศาสตร์ของธงสีรุ้ง เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1978 จากฝีมือการออกแบบของ กิลเบิร์ต เบเกอร์ (Gilbert Baker) ศิลปินและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์ชาวอเมริกัน
เบเกอร์ได้รับแรงบันดาลใจและการผลักดันจาก ฮาร์วีย์ มิลก์ (Harvey Milk) หนึ่งในนักการเมืองอเมริกันคนแรกที่เปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ ซึ่งกระตุ้นให้เขาสร้างสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจสำหรับชุมชนเกย์ขึ้นมา
สาเหตุที่เขาตัดสินใจสร้างสัญลักษณ์เป็นธง เนื่องจากมองว่าธงเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจที่ทรงพลังที่สุด และยังเป็นหนทางในการบอกหรือประกาศให้ผู้อื่นเห็นว่า ‘นี่คือตัวตนของฉัน’
เดิมทีธงสีรุ้งในเวอร์ชันแรกมี 8 แถบสี เนื่องจากเบเกอร์มองว่ารุ้งเป็นธงธรรมชาติจากท้องฟ้า ดังนั้นจึงเลือกใช้แถบสีจำนวน 8 สี ที่มีความหมายในตัวของมันเอง ได้แก่
- สีชมพูร้อน (Hot Pink) หมายถึงเซ็กซ์
- สีแดง (Red) หมายถึงชีวิต
- สีส้ม (Orange) หมายถึงการรักษา
- สีเหลือง (Yellow) หมายถึงแสงแดด
- สีเขียว (Green) หมายถึงธรรมชาติ
- สีเขียวอมฟ้า (Turquoise) หมายถึงศิลปะ
- สีคราม (Indigo) หมายถึงความสามัคคี
- สีม่วง (Violet) หมายถึงจิตวิญญาณ
ธงสีรุ้งถูกนำมาใช้ครั้งแรกในขบวนพาเหรดวันเสรีภาพเกย์ ที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1978 ซึ่งในครั้งนั้นเบเกอร์และทีมอาสาสมัครร่วมกันทำธงด้วยมือ
อย่างไรก็ตาม เขาต้องการผลิตธงจำนวนมาก แต่เนื่องจากติดปัญหาการผลิต จึงตัดสินใจตัดสีชมพูร้อนและสีเขียวอมฟ้าออก ส่วนสีครามแทนที่ด้วยสีน้ำเงินพื้นฐาน ส่งผลให้ธงสีรุ้งในเวอร์ชันต่อมาที่ใช้จนถึงปัจจุบันเหลือเพียง 6 แถบสี (แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน และม่วง) โดยมีแถบสีแดงอยู่ด้านบนเช่นเดียวกับสีรุ้งตามธรรมชาติ และสีต่างๆ สะท้อนถึงความหลากหลายและความสามัคคีของชุมชน LGBTQIA+
กระทั่งในปี 1994 ธงสีรุ้งได้รับการสถาปนาให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชุมชน LGBTQIA+ อย่างแท้จริง และปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์สากลสำหรับความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ ทั่วโลก
ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ