×

‘PTTGC’ ผลงานปี 65 พลิกขาดทุนหนัก 8.75 พันล้านบาท พิษสงครามรัสเซีย-ยูเครน ป่วนราคาน้ำมัน-ปิโตรเคมี ประกาศจ่ายปันผลอีก 0.25 บาทต่อหุ้น

14.02.2023
  • LOADING...
PTTGC ราคาน้ำมัน

‘พีทีที โกลบอล เคมิคอล’ ประกาศงบปี 2565 ขาดทุนอ่วม 8.75 พันล้านบาท หลังขาดทุนตราสารอนุพันธ์ฯ กว่า 2.31 หมื่นล้านบาท โดนผลกระทบสงครามรัสเซียกับยูเครน ทำราคาน้ำมัน-ปิโตรเคมีผันผวนแรง มองปีนี้ธุรกิจยังท้าทาย ยังมีความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มองราคาน้ำมันปีนี้อยู่ที่ 85-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 พลิกขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท ลดลง 119% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 44,982 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ได้ส่งผลกระทบต่อความผันผวนอย่างรุนแรงของทั้งราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทำให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ส่งผลให้บริษัทมีการบันทึกผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงในปีนี้จำนวน 23,057 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ที่เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน

 

อีกทั้งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 3,657 ล้านบาท รวมทั้งผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รวมเป็นขาดทุน 313 ล้านบาท 

 

บริษัทมีส่วนแบ่งเงินกำไรจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 2,908 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในปีนี้ ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษรวม 893 ล้านบาท

 

ในปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศทั่วโลก ทำให้ความต้องการในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลประกอบการของ Allnex เข้ามาเต็มปี 

 

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/65 บริษัทพลิกขาดทุนสุทธิรวม 968 ล้านบาท ลดลง 130% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,248 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/65 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 124,780 ล้านบาท ลดลง 31% จากไตรมาส 3/65 และปรับตัวลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้รวมปรับตัวลดลงโดยมีสาเหตุหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นเป็นเวลา 49 วันในไตรมาสนี้ 

 

ประกอบกับอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัว ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ที่ยังอ่อนตัว เป็นผลจากมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดปี 2562 ในประเทศจีน การเข้ามาของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด รวมถึงความกังวลต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก

 

บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ) จำนวน 1,769 ล้านบาท

 

ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นได้ส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทำให้บริษัทรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 3,518 ล้านบาท และผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รวมเป็นกำไร 3,990 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในไตรมาสนี้จำนวน 381 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า 

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติอนุมัติประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 จำนวน 0.25 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเป็นการจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานปี 2565 รวม 1 บาทต่อหุ้น

 

มองแนวโน้มธุรกิจปีนี้ยังท้าทาย

ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ยังคงมีความท้าทายจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน นำมาซึ่งมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและพลังงานต่อประเทศรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งอุปทานและราคาพลังงานทั่วโลก และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและความกังวลทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ในขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศจีนอย่างเป็นทางการ จากภาพรวมดังกล่าว IMF ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2566 ลงเหลือ 2.9% (ณ เดือนมกราคม 2566) 

 

ขณะที่คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่น่าจะยังสามารถเติบโตได้ แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากปัญหาเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินของแต่ละประเทศ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น บริษัทคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2566 อยู่ที่เฉลี่ย 85-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของโลก (ณ เดือนตุลาคม 2565) ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปริมาณความต้องการใช้ในปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 101.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันดิบยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปีหน้า ทั้งสถานการณ์ขาดแคลนพลังงานของโลก การฟื้นตัวของอุปสงค์ โดยเฉพาะในประเทศจีนภายหลังการเปิดประเทศเพิ่ม

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising