ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากกระแสเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในคลื่นลูกใหญ่และทรงพลังที่สุดคือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI ที่ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและองค์กรทั่วโลก
ปตท. จึงก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการริเริ่มเปิดตัวโครงการ AXIS (AI Transformation & Synergy) หรือ ‘พลังร่วม’ ที่มุ่งผสาน คน เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวกระโดดสู่อนาคต
เพื่อไปสู่เป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า ปตท. ต้องก้าวขึ้นเป็น ‘Top-Quartile Energy Company Utilizing Advanced Technology to Ensure Supply Security and Value Creation’ หรือการเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลก ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสร้างทั้ง ความมั่นคงด้านพลังงานและคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
พร้อมกันนี้ ปตท. ยังได้จัดงาน PTT Group Digital & AI Day 2025 อีเวนต์ครั้งสำคัญภายใต้ธีม ‘AXIS: YOU & AI FORWARD TOGETHER’ ที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อ AI ของคุณไปอย่างสิ้นเชิง ภายในงานยังมีพันธมิตรทางธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชัน จำกัด
ที่ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์ตรงที่ใช้ AI พลิกโฉมธุรกิจ จาก ‘การทดลองเล็ก ๆ’ ไปสู่ ‘การสร้างคุณค่าจริง’ โดย AI ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือ แต่เป็นยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และประสบการณ์ในการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จในอนาคต
ในเซกชันแรกของงาน ผู้เข้าร่วมได้สำรวจ กลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยพลังของ AI ที่แม้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละองค์กรจะนำไปสร้างคุณค่าได้อย่างไร โดยเฉพาะใน 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลังงาน การเงิน และโลจิสติกส์ ซึ่งต่างเร่งใช้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ สร้างการเติบโต และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เจาะลึกกลยุทธ์ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการพลังงานไทย
ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นฉายภาพว่า ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูง AI ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป เพราะมันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงานของทุกอุตสาหกรรมแล้ว
ไม่เว้นแม้แต่กลุ่ม ปตท. เมื่อพูดถึงการวางแผนกลยุทธ์ ปัจจัยด้านดิจิทัลและ AI ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องถูกหยิบขึ้นมาใช้ประกอบการตัดสินใจมาโดยตลอด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกระแสของดิจิทัลดิสรัปชันเกิดขึ้นมานานแล้ว และองค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ทุกวัน
สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน หลายบริษัทในตลาดโลกต่างเชื่อมั่นและนำ AI มาใช้อย่างจริงจัง เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจและสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน กลุ่ม ปตท. จึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะเลือกอยู่ตรงไหนในเกมนี้ โชคดีที่กลุ่ม ปตท. มีความเข้าใจในประเด็นนี้อยู่พอสมควร แต่สิ่งที่ท้าทายคือ องค์กรพร้อมแค่ไหนที่จะลงมือปรับใช้จริง และสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน คำว่า ‘ดิสรัปชัน’ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ตอนนั้นกลุ่ม ปตท. ก็ถือว่าเป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูงอยู่แล้ว มีโครงการและระบบที่แข็งแรงมากมาย มีโอกาสเสี่ยงน้อยต่อการดิสรัปชัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้คือ เราไม่สามารถใช้เวลาเป็น 5 ปีทำโครงการใหญ่หนึ่งอย่าง แล้วใช้เวลาอีก 5 ปีติดตามผลแบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว เพราะโลกหมุนเร็วกว่าเดิมมาก การแข่งขันไม่รอใคร และความสำเร็จในอดีตก็ไม่อาจการันตีอนาคตได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปรับแนวคิด และรีบลงมือทำ
ดร. คงกระพัน ฉายภาพต่อไปว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ‘แนวคิด’ และ ‘การลงมือทำ’ ที่จะกำหนดทิศทางขององค์กร ทุกวันนี้กลุ่ม ปตท. มีการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง หลายโครงการได้ถูกผลักดันในเชิงดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาซัพพลายเชน การทำระบบออโตเมชัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Infrastructure) รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการเปลี่ยนแปลง
ต้องยอมรับว่าโลกธุรกิจเปลี่ยนเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงต้องยอมรับและบทเรียนจากกรณีศึกษา (Use cases) ด้าน Digital และ AI ให้ได้ และหากย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน บริษัทของเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 24,000 ล้านบาท แต่หากมองลึกลงไปจะพบว่ามากกว่าครึ่งถูกผูกติดอยู่กับ ‘บิซเนส มาร์จิ้น’ ของธุรกิจหลัก ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า อีกทั้งยังสามารถนำกำไรส่วนเกินไปลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามสำคัญว่า เหตุใดกำไรของบริษัทจึงไม่เพิ่มขึ้น
คำตอบคือเพราะสปีดการเติบโตของบริษัทถูกลดทอนลง ด้วยปัจจัยรอบด้านที่ยังไม่ถูกแก้ไข หากไม่ตระหนักและเร่งปรับตัว ก็ยากที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำอย่างแท้จริง และสิ่งที่จะเป็นหัวใจสำคัญคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดเวลาและลดต้นทุน เช่น ปตท.สผ. ได้มีการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการสำรวจและการผลิต ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้เหนือคู่แข่ง และอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือการนำ AI เข้ามาใช้ในธุรกิจแก๊ส ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ทุกขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นำ AI เข้าเพิ่มทักษะให้พนักงานในองค์กร
ที่ผ่านมา ปตท. ได้ริเริ่มโครงการ ‘Mission X’ ที่มุ่งปรับโครงสร้างและยกระดับกระบวนการทำงานในองค์กร ซึ่งแม้ดูเหมือนเป็นเรื่องคนละด้าน แต่ในความเป็นจริงกลับเชื่อมโยงกับเรื่องดิจิทัลและ AI อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสุดท้ายหัวใจของการเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือคน
พร้อมย้ำว่าการนำดิจิทัลและ AI มาใช้จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการสร้างความใหม่ให้กับพนักงาน ให้พนักงานเปิดรับการเปลี่ยนแปลง เมื่อคนพร้อม ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น เพราะคนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักขององค์กร
เรียกได้ว่าความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือจำนวนบุคลากรในอนาคต เราจำเป็นต้อง ‘ลดจำนวน’ ลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลดพนักงานออก สิ่งที่บริษัทต้องทำคือการนำ AI เข้ามาช่วยเพิ่มทักษะ (Upskill และ Reskill) ให้กับคนที่ยังอยู่ เพื่อให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI และดิจิทัลไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็น ที่ทุกองค์กรต้องปรับตัว และสำหรับกลุ่ม ปตท. นี่คือโอกาสสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในโลกธุรกิจยุคใหม่” ดร. คงกระพัน ย้ำ
เส้นทางการเปลี่ยนผ่านของกรุงไทย สู่ยุคดิจิทัลและ AI
ตามด้วย คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ฉายภาพว่า สิ่งที่กรุงไทยได้ลงมือทำ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะกระแสเทคโนโลยี แต่เกิดจากหลักคิดที่ชัดเจนว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 ซึ่งภาคการธนาคารเองก็เป็น ‘ตัวกลางสำคัญ’ ที่เชื่อมโยงทั้งลูกค้าและผู้ฝากเงิน แต่การอธิบายแนวคิดนี้กับคณะกรรมการธนาคารไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นหากอยากให้ธนาคารก้าวทันโลก
ผมมักจะยกตัวอย่างเรื่องการไปดวงจันทร์ในปี 1969 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าพลังคำนวณมหาศาลกลับถูกย่อมาอยู่ในสมาร์ทโฟนในมือของทุกคน สิ่งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างมาก เช่นเดียวกับการมาของ AI ที่เริ่มสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลกตั้งแต่ปี 2022–2024 หลังการเปิดตัว ChatGPT ที่ทำให้ผู้คนได้เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีรูปแบบใหม่
แน่นอนว่ากรุงไทยตระหนักดีว่า ประเทศไทยไม่ใช่ผู้สร้างเทคโนโลยี แต่ต้องเป็น ‘ผู้เรียนรู้’ และ ‘ผู้ปรับใช้’ เราศึกษาจากโมเดลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายด้านข้อมูลในหลายประเทศ ตั้งแต่ออสเตรเลียไปจนถึงแอฟริกา รวมถึงแนวคิด Open Finance และ Open Banking ที่เริ่มพูดถึงกันเมื่อเกือบสิบปีก่อน
ทำให้ ธนาคารกรุงไทย ได้หยิบโมเดลของธนาคารนานาชาติอย่าง IBS มาเป็นเสมือนไบเบิลในการปรับกลยุทธ์ โดยมีหลักคิดสำคัญคือ
- Customers First – ลูกค้าต้องเป็นศูนย์กลาง ทั้งผู้ฝากเงินและผู้กู้เงิน ทุกบริการต้องอยู่บนดิจิทัล และต้องส่งมอบโซลูชันผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น
- Anytime, Anywhere, Real-time – บริการต้องเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์
- Ecosystem Connection – ธนาคารไม่อาจอยู่เพียงลำพัง แต่ต้องเชื่อมต่อกับระบบนิเวศรอบตัว ใช้ Cloud และ API เพื่อลดต้นทุนและสร้างความยืดหยุ่น
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถใหม่ๆ เข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กร
คุณผยง ได้ยกตัวอย่างจากการพลิกโฉมด้วย Krungthai NEXT ย้อนกลับไปปี 2016 ขณะที่คู่แข่งหลายธนาคารมีดิจิทัลแบงก์กิ้งไปไกลแล้ว กรุงไทยยังถือว่าล้าหลังถึง 7 ปี การจะวิ่งไล่ตามแทบเป็นไปไม่ได้ แต่มีโอกาสครั้งใหญ่จากแนวคิด Open Finance ที่นำไปสู่การลงทุนคู่ขนานทั้งระบบปิดและระบบเปิด จนเกิด Krungthai NEXT ขึ้นมาแทนเน็ตแบงก์เดิมที่ล้าสมัย
แม้จะท้าทายมากในช่วงแรก แอปพลิเคชันล่มแทบทุกเดือน จนถูกธนาคารแห่งประเทศไทยกดดันอย่างหนัก แต่ในที่สุดเราก็ปรับระบบใหม่ทั้งหมด ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง จากลูกค้าเพียง 3 ล้านคน กระโดดขึ้นเป็นกว่า 40 ล้านคน ในเวลาไม่กี่ปี
สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการหาสมดุลระหว่างความปลอดภัย ที่ผู้ใช้รุ่นเก่าต้องการ มาผสมกับความตื่นเต้นและความสะดวก ที่ผู้ใช้รุ่นใหม่มองหา จนเกิดเป็นการอยู่ร่วมกันของระบบปิดและระบบเปิดภายในธนาคาร
คุณผยง กล่าวต่อถึงยุทธศาสตร์ใหม่ของกรุงไทยคือ สร้างแพลตฟอร์มก่อน แล้วค่อยดึงลูกค้าเข้ามา และตอบโจทย์ด้วยโซลูชันที่หลากหลาย ไม่ใช่เริ่มจากการขายผลิตภัณฑ์การเงิน แต่เริ่มจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า
พร้อมกับการเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร ระบบขนส่ง ไปจนถึงหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ ตัวอย่างเช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่พนักงานกรุงไทยต้องลงพื้นที่ไปติดตั้งเครื่องให้ร้านค้าต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบดิจิทัล
สุดท้ายแล้วเมื่อพูดถึง AI ทุกคนพูดถึงกันมาก แต่สิ่งสำคัญคือการลงมือทำ เพราะหากใช้เงินลงทุนโดยไม่เข้าใจ ก็ไม่อาจสร้างคุณค่าได้ กรุงไทยจึงเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ทั้งหมด โดยมองว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีด้าน ศิลปะและอารมณ์ ที่พร้อมเป็นคู่คิดและแรงบันดาลใจให้มนุษย์
ยิ่งในปี 2025 กรุงไทยกำหนดโจทย์ชัดเจนว่า ลูกค้าอยากได้อะไร สมองเราต้องคิดออก และโครงสร้างพื้นฐานต้องพร้อมรองรับ ขณะเดียวกันฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ ที่ผ่านมาได้นำ AI มาใช้วิเคราะห์ทักษะของพนักงานกว่า 1,000 คน แล้วใช้ทีมเล็กๆ เพียง 4 คนมาคัดกรองและจัดสรรงานให้เหมาะสมกับแต่ละคน ทำให้ลดต้นทุนแรงงานได้หลายเท่า และยังทำให้องค์กรยืดหยุ่นมากขึ้น
โจทย์หิน ‘รักษาลูกค้า’ ต้องก้าวพ้นโครงสร้างพื้นฐานเดิม ไปสู่เทคโนโลยีและ AI
เช่นเดียวกับ คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ฉายภาพต่อไปว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของดับบลิวเอชเอ มักเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งบางบริษัทใหญ่กว่าเราด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายอย่างมาก ว่าจะรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้อย่างไร
สิ่งหนึ่งที่องค์กรให้ความสำคัญและชอบนำมาเล่าเสมอ คือการวางกลยุทธ์ในระยะยาว เพราะโลกวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเมกะเทรนด์ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ทั้งเรื่องเทคโนโลยี ความยั่งยืน (Sustainability) และการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งไม่มีประเด็นไหนที่สามารถมองแยกจากกันได้ ตัวอย่างชัดเจนคือช่วงสงครามการค้าครั้งแรกในปี 2018 ที่ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่จากจีนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงต้องมองให้ออกว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งและจุดอ่อนตรงไหน และจะดึงโอกาสนั้นมาใช้ได้อย่างไร
เมื่อพูดถึงจุดแข็ง จุดหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือเรื่องแรงงานราคาถูก แต่ความจริงแล้วประเทศไทยไม่สามารถพึ่งพา ‘บุญเก่า’ แบบนี้ได้อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องสร้างบุญใหม่ ที่แข็งแรงกว่าเดิม นั่นคือการสร้าง New Economy ที่มีคุณค่าและความยั่งยืน หากเราต้องการดึงดูดนักลงทุน ยิ่งต้องพัฒนาตัวเองอย่างจริงจังในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสิ่งแวดล้อม
หากจะลงทุนในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญ เช่น การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการลงทุนในพลังงานสะอาด สิ่งเหล่านี้คือการบ้านใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ยิ่งในอดีตเราเคยพูดถึงบล็อกเชนกันอย่างกว้างขวาง แต่ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา โฟกัสได้เปลี่ยนมาที่ ‘AI’ จากที่เคยคิดว่า AI จะเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัว แต่วันนี้ความจริงก้าวไปไกลกว่านั้น เพราะ AI กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต
จากความเคลื่อนไหวทั้งหมด ทำให้บทบาทของ ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชัน เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เน้นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เช่น นิคมอุตสาหกรรม หรือระบบโลจิสติกส์ วันนี้จะไม่หยุดอยู่แค่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาเชื่อมต่อและสร้างคุณค่าใหม่ๆ
“พร้อมวางทิศทางว่าองค์กรต้องเปลี่ยน แต่ความท้าทายใหญ่คือคน เพราะคนยังไม่พร้อม ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการปรับวิธีคิด และการทรานส์ฟอร์มคน เพื่อให้องค์กรก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง” คุณจรีพร ย้ำ
เบื้องหลังความสำเร็จ PTTEP-GC-GPSC ยักษ์ใหญ่พลังงานใช้ AI เสริมความแม่นยำและลดต้นทุนธุรกิจ
นอกจากนี้ยังมีบริษัท Flagship ของกลุ่ม ปตท ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนแนวคิด ในการเตรียมความพร้อมนำเอาเทคโนโลยีและ AI เข้ามาพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน
โดยเริ่มจาก คุณมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ธุรกิจพลังงานมีความชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการแข่งขันในตลาดโลก ทุกวันนี้ การผลิตพลังงานไม่ใช่แค่เรื่องของการมีทรัพยากรเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ ต้นทุนและประสิทธิภาพ บริษัทต้องผลิตพลังงานให้ได้ในราคาที่แข่งขันได้ และเหนือกว่าคู่แข่ง นั่นทำให้ต้นทุนการผลิตกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร
เมื่อย้อนกลับมามองในมุมของ AI และดิจิทัล ได้ตกผลึกชัดเจนว่า ถ้าต้องการอยู่รอดและก้าวทันการแข่งขัน จำเป็นต้อง สปีดการปรับตัวให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานอย่าง ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล ปีหนึ่งเฉลี่ยกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขุดเจาะและก่อสร้างโครงสร้างด้านพลังงาน การจะลงทุนเม็ดเงินระดับนี้ได้อย่างคุ้มค่า จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างความแม่นยำ ลดความสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน
ที่ผ่านมาบริษัทมี Use Cases ที่เห็นผลลัพธ์จริง ยกตัวอย่าง การวางแท่นผลิตเหล็ก 1 แท่นในอ่าวไทย ที่มีมูลค่ากว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เดิมกระบวนการนี้ใช้เวลานานและต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ปัจจุบันได้นำ AI เข้ามาช่วยในการคำนวณ ทำให้สามารถลดระยะเวลาได้อย่างมหาศาล พร้อมทั้งลดการใช้แรงงานลงอย่างชัดเจน ทั้งช่วยประหยัดต้นทุน และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน
ถัดมาในส่วนของ คุณณรงค์ศักดิ์ จิวากานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจหลักของ GC อยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูงและต้องแข่งขันในระดับสากล ยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือการนำดิจิทัลเข้ามาใช้ในทุกส่วนขององค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
หนึ่งในแนวทางที่ GC วางไว้คือการใช้ Smart Marketing และระบบดิจิทัลมาครอบคลุมทุกกระบวนการของการดำเนินธุรกิจ แต่เมื่อเริ่มต้นลงมือทำจริงก็พบว่า การทำทุกอย่างไปพร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทจึงเลือกโฟกัสในเรื่องที่สามารถวัดผลลัพธ์ได้ชัดเจน และสร้างคุณค่าให้ธุรกิจในระยะสั้นถึงกลาง นั่นคือด้าน การผลิตและซัพพลายเชน ซึ่ง GC ให้ความสำคัญมาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา
ในส่วนโรงงานการผลิตมีระบบและข้อมูลจำนวนมหาศาล ทั้งจากเครื่องจักร เซ็นเซอร์ และระบบควบคุมการผลิตต่าง ๆ การใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยจัดการเป็นสิ่งที่ทำกันอยู่แล้ว แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถนำดิจิทัลมาสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การบริหารจัดการโรงงานกว่า 50 แห่งของ GC ที่ต้องตอบโจทย์ว่า ควรผลิตสินค้าอะไร ปริมาณเท่าไร เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนมาก เพราะเกี่ยวข้องกับทั้งตลาด ความต้องการลูกค้า ต้นทุนวัตถุดิบ ไปจนถึงการขนส่งและสต็อกสินค้า กระบวนการนี้ได้เริ่มจากการทดลองปรับจูนตามทฤษฎี แล้วค่อย ๆ ขยับไปสู่การปฏิบัติจริง ข้อสำคัญคือ GC ไม่ได้พึ่งพาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมากนัก แต่เลือกที่จะพัฒนา วิศวกรภายในองค์กร ให้มีทักษะด้านดิจิทัล โดยส่งบุคลากรไปเรียนรู้และกลับมาเขียนโปรแกรมด้วยตนเอง เพื่อให้สามารถสร้างโซลูชันที่เหมาะกับโจทย์เฉพาะของบริษัทได้อย่างแท้จริง
และคุณวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ยกตัวอย่างให้เห็นว่า การนำ AI มาใช้ใน Predictive Maintenance เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของเครื่องจักรและคาดการณ์ความเสียหายได้ล่วงหน้า จากเดิมที่ใช้เพียงการบำรุงรักษาตามรอบเวลา วิธีใหม่นี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง และยืดอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ย้ำปิดท้ายว่า ‘ผู้นำต้องเชื่อจริง’ และขับเคลื่อนให้เกิดผลจริง ไม่เพียงลงทุนเทคโนโลยี แต่ยังต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ใช้ Best Practice Sharing ระหว่างบริษัทในเครือ เพื่อประหยัดต้นทุนและขยายผลการใช้ดิจิทัล เพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการใช้ Digital และ AI เป็นกลไกสำคัญ ในการลดต้นทุน ยกระดับประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจพลังงานไทยในระยะยาว
ปลุกพลัง ดึง AI เป็น DNA องค์กร
ในเซสชันช่วงบ่าย ดร. ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร ปตท. ได้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ‘AI-First Organization’ ที่ ปตท จะไม่ใช่เพียงองค์กรที่ใช้ AI แต่เป็นองค์กรที่คิดตัดสินใจ และสร้างนวัตกรรมบนฐาน AI พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองคือผู้เล่นสำคัญในการทำให้ AI เป็นวัฒนธรรมองค์กร
เช่นเดียวกับ Mr. Malcolm Hsiao, Accenture ที่มาร่วมแชร์การเส้นทางการเดินทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน ที่องค์กรไทยต้องเลือกเพื่อไม่ให้ตกขบวนการเปลี่ยนแปลงจาก AI Experiment สู่ AI at Scale และ AI as Core Business Driver สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ พร้อมกับการเสริมพลังให้บุคลากรทุกระดับสามารถใช้ AI ได้อย่างมั่นใจ และสร้างคุณค่าในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
รวมถึง คุณมุขยา พานิช AICONIC VENTURES มาร่วมแบ่งปันการเปลี่ยนกรอบความคิดขององค์กร จาก AI as a Tool สู่ AI as DNA ปลุกพลังให้ผู้เข้าร่วมกลับไปสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ ที่กล้าทดลอง และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ภายในงานยังมีพิธีการมอบเกียรติบัตรผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ Boost Camp จากวันที่ผู้เข้าร่วมโครงการ Boost Camp ไม่มั่นใจในเทคโนโลยี กลายเป็น AI Talent ที่พร้อมนำ Use Case ไปสู่การปฏิบัติจริง ทำให้เห็นว่า AI Transformation ไม่ใช่แค่เรื่องของระบบ แต่คือการเสริมศักยภาพคนให้กลายเป็นพลังใหม่ของ ปตท.
ไม่เพียงเท่านี้ ปตท. ยังได้จัดแสดงนิทรรศการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของกลุ่ม ปตท. และเครือข่ายพันธมิตร ที่ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงมาใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่