หุ้น บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PTC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) วันแรก ราคาเปิดการซื้อขายปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจองซื้อ 92.85% ด้านผู้บริหารย้ำแผนศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง หวังได้ข้อสรุปปีนี้หากนโยบายรัฐชัดเจน
หุ้น PTC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันนี้วันแรก บรรยากาศโดยรวมเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเปิดการซื้อขายที่ 6.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.25 บาท หรือ 92.85% จากราคา IPO ที่ 3.50 บาท จากนั้นราคาไต่ระดับแตะราคาสูงสุดที่ 6.85 บาท มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นระดับ 770 ล้านบาท
ทั้งนี้ บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PTC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,435 ล้านบาท
บริษัทดำเนินธุรกิจคลังน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 โดยมีบริการหลักคือ รับ เก็บ และจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีคลังน้ำมัน 2 แห่ง ได้แก่ คลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดขอนแก่น มีถังเก็บน้ำมัน 10 ถัง ปริมาตรรวมประมาณ 9.0 ล้านลิตร มีความสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้ปีละ 1,400 ล้านลิตร และ 1,400 ล้านลิตร ตามลำดับ และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดศรีสะเกษ มีถังเก็บน้ำมัน 10 ถัง ปริมาตรรวมประมาณ 9.7 ล้านลิตร มีความสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้ปีละ 830 ล้านลิตร และ 770 ล้านลิตร ตามลำดับ
กลุ่มลูกค้าของ PTC แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 รายใหญ่ (ลูกค้าทางตรง) ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการหลัก คือ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) รายเดียว
2. สถานีบริการน้ำมัน (ลูกค้าทางอ้อม) กลุ่มเป้าหมายหลัก คือสถานีบริการน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตอนล่าง
ทั้งนี้ บริษัทได้เพิ่มบริการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงพื้นฐานตามสูตรที่ผู้ค้าน้ำมันต้องการที่คลังศรีสะเกษ ส่งผลให้บริษัทสามารถให้บริการแก่สถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันได้หลายราย
PTC มีทุนชำระแล้ว 205 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้น และหุ้น IPO 110 ล้านหุ้น โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 3.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 385 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 13.81 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิใน 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564) ซึ่งเท่ากับ 103.93 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท
PTC มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวบูรพพัฒนพงศ์ ถือหุ้น 51.16%, บริษัท ซีโฟร์ คอร์ปอเรชั่น (บริษัทย่อยถือหุ้น 100% โดย TAPAC) ถือหุ้น 16.83% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักเงินทุนสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย
วีรวัฒน์ บูรพพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PTC กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปชำระคืนเงินกู้แก่สถาบันการเงิน ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท นอกจากนี้ PTC มีโครงการก่อสร้างจุดรับน้ำมันทางรถไฟที่คลังศรีสะเกษ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในด้านการลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันของลูกค้า
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจโรงไฟฟ้าตามแผน ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ และลดความเสี่ยงเรื่องการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงาน โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธุรกิจโรงไฟฟ้าได้ในปีนี้หากภาครัฐมีความชัดเจนด้านนโยบาย
“เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV มองเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยจากงานวิจัยและตัวเลขสถิติต่างๆ ทำให้เชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันยังคงมีสูงอย่างต่อเนื่องในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและศึกษาโอกาสธุรกิจใหม่ๆ ต่อเนื่อง และโอกาสจากการสร้างรายได้เพิ่มจากคอนเซปต์ Revenue Sharing ที่บริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะหลายธุรกิจมองน้ำมันเป็น Sunset จึงไม่มีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันเพิ่ม ก็เป็นโอกาสของเรา” วีรวัฒน์กล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP