×

คณะกรรมการอัยการ มีมติเอกฉันท์ให้ ‘เนตร นาคสุข’ ออกจากราชการ ชี้ใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบสั่งไม่ฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’

โดย THE STANDARD TEAM
18.05.2022
  • LOADING...
เนตร นาคสุข

วันนี้ (18 พฤษภาคม) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ พชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมได้วาระสำคัญในการประชุมเพื่อลงมติผลสอบคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาคดีขับรถชน ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทองหล่อ เสียชีวิต ซึ่งได้มีการส่งผลการสอบสวนให้พชร ในฐานะประธาน ก.อ. เมื่อช่วงหลังหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

 

ภายหลังการประชุม พชรกล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ก.อ. มีผู้เข้าร่วมประชุม 14 คน ลาประชุม 1 คน ซึ่งมี ก.อ. ที่เคยถูกตั้งเป็นกรรมการสอบสวนวินัยเนตรจำนวน 6 คน ที่ประชุมจึงให้งดออกเสียง กรรมการที่มีสิทธิลงมติจึงเหลือ 8 คน 

 

กรรมการทั้ง 8 คนมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า เนตรขาดความระมัดระวังละเอียดรอบคอบในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี และไม่ให้ความสำคัญกับสำนวนทุกประเภท ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ อันเป็นระเบียบที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทำความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 และความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ และฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง 

 

ส่วนความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำครั้งเดียวผิดวินัยหลายฐาน จึงเห็นควรลงโทษในสถานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษหนักกว่า แต่ทางสอบสวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกไล่ออกจากราชการ เห็นพ้องกันว่าควรลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ‘ปลดออกจากราชการ’ 

 

แต่เมื่อพิจารณาถึงประวัติการรับราชการ พบว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยถูกลงโทษในการกระทำความผิดทางวินัยมาก่อน และกรณีดังกล่าวนี้เป็นการกระทำความผิดทางวินัยครั้งแรก ผู้ถูกกล่าวหาเองได้รับราชการมาเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ทำคุณประโยชน์แก่ราชการไว้มาก 

 

กรณีมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา คณะกรรมการ ก.อ. ทั้ง 8 คน ซึ่งรวมตนด้วย จึงมีมติและคำสั่งให้ลงโทษ เนตร นาคสุข ผู้ถูกกล่าวหา ในสถาน ‘ให้ออกจากราชการ’ ตาม พ.ร.บ.ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 85 และ 87 

 

พชรกล่าวต่อว่า มติ ก.อ. วันนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้วในส่วนของการดำเนินการทางวินัย หากเนตรไม่เห็นด้วยกับมติ ก.อ. ก็ยังสามารถใช้วิธีทางปกครองโดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ 

 

ทั้งนี้ คำสั่งให้ออกจากราชการมีผลตั้งแต่วันที่มีการอนุมัติให้ลาออกจากราชการแล้ว

 

ในส่วนการดำเนินคดีอาญากับเนตร ในส่วนของสำนักงานอัยการสูงสุดนั้นคงไม่มีแล้ว คงให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น 

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์นั้น พชรกล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมี ประพัฒน์พงศ์ สุคนธ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปกครอง เป็นประธานสอบ แต่จะเป็นความผิดสถานใดก็ต้องรอดูผลสอบสวน 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การลงโทษเนตร แค่ให้ออกจากราชการมองว่าเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่

 

พชรยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือกัน เพราะเนตรนั้น ในหมู่อัยการรู้นิสัยกันดีว่าจริงๆ แล้วเนตรไม่ควรจะขาดความรอบคอบ แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการสั่งคดีนั้นมีการทุจริตตรงไหน เนตรถือเป็นอัยการที่มือสะอาด แต่การใช้ดุลพินิจในขณะนั้นจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ถือว่าขาดความรอบคอบจากมาตรฐานของคนที่ทำคดีมายาวนาน ซึ่งต้องมีความรอบคอบมากขึ้น และต้องสอบพยานคนกลางที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้เป็นที่ยอมรับของสังคม 

 

“องค์กรอัยการเราอยู่มาถึง 140 กว่าปี ถ้าเราไม่ได้รับความเชื่อถือต่อสังคม เรารับไม่ได้ เพราะองค์กรจะต้องอยู่ต่อไป เราเป็นทนายแผ่นดิน เป็นข้าแผ่นดิน ถ้าทนายแผ่นดินเชื่อถือไม่ได้ ก็ไม่รู้จะสรรหากระบวนการยุติธรรมไหนที่เชื่อถือได้อีกแล้ว” พชรกล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising