ในโอกาสครบรอบ 22 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘มาตรฐานความเป็นมืออาชีพของสื่อมวลชนในยุคดิจิทัล’ โดยระบุว่า ในยุคดิจิทัล เราติดต่อกันได้เร็วขึ้นทุกรูปแบบ การหาข้อมูลก็ง่ายสะดวก เกิด AI หรือสมองเทียม ซึ่งมาช่วยทำในสิ่งที่คิดว่าจะทำไม่ได้มาก่อน เราก้าวหน้าไปไกลมาก และประเทศไทยเองได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเสียใจในการใช้ชีวิตก้าวหน้า แต่ก็มีสิ่งที่ถอยหลังไป 50 ปี คือการเมืองไทย ซึ่งน่าเศร้า รู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ปี 2510 ก่อนช่วง 2514 และ 2519 โดยสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนกันคือ กลุ่มผู้ปกครองที่เป็นทหาร ทำไมถึงมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนคนธรรมดา และตอนนั้นมีเหตุขวากระแทกซ้าย ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วง ไม่อยากให้เลยเถิดไปกว่านี้อีกเลย อยากให้ฝ่ายปกครองที่เป็นพี่ใหญ่ใช้ความเฉลียวฉลาดให้มากกว่านี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ในอดีตเคยเจอ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สมัยเป็นนายกฯ ท่านบอกเพิ่งกลับมาจากการพบกรรมการจากสมุทรสาคร โดยคนที่พามาก็เป็นอดีตผู้นำนักศึกษา ซึ่งบอกว่าเราต้องให้เกียรติเขา ส่วนตัวก็อยากให้ผู้ปกครองคิดอะไรแบบนี้ เปิดกว้างรับฟัง เห็นเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่คิดว่าเขาจะมาคิดทำลายชาติ เขาอาจจะก้าวหน้าไปนิดคิดไม่ทัน หรือหากคิดไม่ดีก็พัง ก็เตือนเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่อยากให้ไปไกลกว่านี้ ทางแก้ทางเดียว ฝ่ายปกครองที่เป็นผู้ใหญ่ต้องใจเย็น มีสติเปิดใจให้กว้าง
นอกจากนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังกล่าวว่า ในโลกดิจิทัลทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว แต่ความสะดวกก็ต้องปรับตัว ซึ่งทุกท่านเข้าใจการปรับตัว โดยเห็นได้จาก 1. สื่อที่รีบตั้งเว็บไซต์ของตัวเอง เพราะเป็นช่องทางของโอกาสในการส่งข่าวสาร 2. ทันทีที่เกิดเหตุก็สามารถนำเสนอเหตุการณ์ได้ทันที รวดเร็วต่างกันไม่กี่วินาที 3. หลังจากนั้นไม่นาน ก็ไปหาข้อมูลว่าเรื่องนั้นส่งลกระทบถึงใคร มีผลดี ผลสืบเนื่องอย่างไร ถือเป็นการปรับตัวที่ดี และ 4. ในส่วนของหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้น หากทำเหมือนกันที่ปรากฏในดิจิทัลแล้วคนก็จะเริ่มไม่อ่าน แต่ก็เห็นการปรับตัวของบางฉบับที่นำเสนอในรูปแบบสรุปประมวลเหตุการณ์ ซึ่งใครปรับตัวเองได้ก่อนก็สร้างความได้เปรียบ
นอกจากนี้ ยังมีของแถมในโลกดิจิทัล คือสิ่งที่ประชาชนประสบและถ่ายทอดผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นแหล่งของข้อมูลในเหตุการณ์ เมื่อนักข่าวเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบจิตใจ เขาก็นำไปลงข่าว ต่างจากเดิมที่ไม่มีแหล่งโซเชียลมีเดีย จากนั้นก็เริ่มนำไปสู่การสืบสวนต่อว่าเป็นอย่างไร เกิดจากอะไร มีผลดีผลเสียอย่างไร
“จะดีมากถ้าเราสามารถทำต่อไป จนถึงจุดที่แก้ปัญหาให้เขาด้วย เช่น รายการของ กิตติ สิงหาปัด เดินเรื่องจากประชาชน และเดินต่อไปสู่การแก้ปัญหา ตรงนี้เป็นหน้าที่ยิ่งใหญ่ ถ้าทำได้ก็จะเป็นคุณ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับหนังสือพิมพ์ ซึ่งหน้าที่ของสื่อมวลชนคือการทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สื่อไปทำความจริงให้ปรากฏ เขาก็จะได้รับความเป็นธรรม ตรงนี้เป็นโอกาสใหม่ที่มาจากข่าวของประชาชน ผ่านการถ่ายคลิปแต่ต้องระมัดระวังไม่ให้มีการใช้ท่านเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน ดังนั้นก่อนหยิบมาเสนอต้องเช็กให้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งตรงนี้คงระวังอยู่แล้ว เพราะไม่อยากหน้าแตก” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า มาตรฐานความเป็นมืออาชีพในโลกดิจิทัลเป็นอย่างไรนั้น จะเห็นว่าจะโลกดิจิทัลหรือไม่ใช่ ความเป็นมืออาชีพไม่ต่างกัน เพราะหน้าที่สื่อมวลชนคือทำความจริงให้ปรากฏ มีคุณธรรม ไม่เอียงไปทำลายคนนั้น ไม่ประจบคนนี้ สองต้องมีความรอบคอบ ตรวจสอบข่าวว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เพราะดิจิทัลอาจพลาดง่าย การทำงานที่รวดเร็ว ก็ต้องมีเรื่องของจริยธรรม จรรยาบรรณ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์