วันพรุ่งนี้ (14 เมษายน) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและผู้นำอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ณ ทำเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล
เป็นประจำทุกปีที่ผู้นำชาติสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศจะร่วมประชุมกันปีละ 2 ครั้ง แต่เนื่องด้วยขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่ ทุกประเทศในอาเซียนได้รับผลกระทบจากการระบาดนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในภูมิภาคเพิ่มขึ้น และมีตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมที่เมื่อรวมกันในภูมิภาคอาเซียนแล้วมีจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน ผู้นำอาเซียนจึงเห็นพ้องให้จัดการประชุมทางไกลแทน โดยในช่วงเช้าจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมร่วมระหว่างผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาบวกสาม
การประชุมอาเซียนบวกสามดังกล่าวเกิดจากข้อเสนอของจีนในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-จีนสมัยพิเศษ ณ เวียงจันทน์ ที่จะให้มีการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ให้ความเห็นว่าอาจพิจารณาจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศสมาชิกอาเซียนในการแสวงหาความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสาม
ทั้งนี้ในปี 2563 เวียดนามได้รับไม้ต่อการเป็นประธานอาเซียนต่อจากไทย โดยนายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก ของเวียดนาม จะกล่าวเปิดในฐานะประธานการประชุมฯ และจะเชิญผู้นำประเทศสมาชิกที่เหลือกล่าวเรียงลำดับตามตัวอักษรชื่อประเทศ โดยจะกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระราชาธิบดีบรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนปี 2564 ทรงกล่าวถ้อยแถลงเป็นพระองค์แรก
ในเวทีนี้ผู้นำอาเซียนจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ มาตรการรับมือด้านสาธารณสุข ตลอดจนหาแนวทางร่วมกันในการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพและรอบด้านทั้งในภูมิภาคและกับภาคีภายนอก ซึ่งแต่ละประเทศในอาเซียนได้มีการเฝ้าระวัง ยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โดยการเพิ่มมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล Social Distancing หรือ Physical Distancing
สำหรับประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ ดำเนินการกำหนดมาตรการต่างๆ ให้ความช่วยเหลือและดูแลทุกด้าน เช่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง ด้านการควบคุมสินค้า ด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ด้านการต่างประเทศ และด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤต พร้อมทั้งได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และออกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานเพื่อชะลอและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค
ทั้งนี้ผลจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนจะมีการรับรองปฏิญญาร่วม 2 ฉบับ ซึ่งจะยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจา (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ในการป้องกันและกำจัดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดที่คุกคามชีวิตของผู้คนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก
ภาพ: Anton Raharjo / Anadolu Agency via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: สำนักนายกรัฐมนตรี