ผู้นำฟิลิปปินส์และผู้นำภาคธุรกิจชี้ ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และภาวะโลกร้อน เป็น 3 ประเด็นท้าทายโลก แนะภาครัฐ-ผู้ประกอบการเตรียมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หนุนใช้โมเดลทุนนิยมรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมความยั่งยืน
เฟอร์ดินานด์ โรมูอัลเดซ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ กล่าวบนเวที The Global Economy and the Future of APEC ระหว่างเข้าร่วมประชุม APEC 2022 ว่า เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภูมิภาคในปัจจุบันยังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและซัพพลายเชน เพื่อข้ามพ้นเมฆหมอกดังกล่าว ภาครัฐและธุรกิจในภูมิภาคจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน ตอบสนองต่อปัญหาเชิงโครงสร้าง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประชุม APEC ที่ไทยเรากำลังจะเป็นเจ้าภาพ
- ความท้าทาย ‘ เศรษฐกิจไทย ปี 2566 ’ กับการปรับตัวของภาคธุรกิจ
- ‘สีจิ้นผิง’ ขึ้นเวที G20 เรียกร้องประชาคมโลกจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวอีกว่า 3 ประเด็นที่สำคัญและท้าทายที่สุดที่โลกกำลังเผชิญในขณะนี้ ประกอบด้วย
- ความมั่นคงทางอาหาร ผลผลิตทางการเกษตรโลกลดลงจากภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น
- ปัญหาด้านสุขภาพ โดยโควิดเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องเร่งลงทุนเพื่อรับมือกับโรคระบาดในอนาคต
- การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งฟิลิปปินส์ถือเป็นประะเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบมากถึง GDP 6% ต่อปี หากทุกฝ่ายยังตอบสนองไม่เพียงพอ
ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีแผนจะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีมิชชัน โดยตั้งเป้าจะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 35% และ 50% ของสัดส่วนพลังงานทั้งหมดให้ได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็จะร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียว
“เราจำเป็นต้องมีระบบธรรมาภิบาลสำหรับภูมิภาค ต้องสร้างความสมดุลระหว่างการแข่งขันและความร่วมมือในภูมิภาค ให้ความสำคัญกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เพราะโลกจะรุ่งเรืองได้ก็ต้องเมื่อมีสันติภาพเกิดขึ้น” มาร์กอส จูเนียร์ กล่าว
เคลาส์ ชวาบ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) กล่าวบนเวทีเดียวกันว่า เพื่อการเติบโตและอยู่รอดในอนาคต ภาคธุรกิจจะต้องพร้อมรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยคิดอย่างมีกลยุทธ์ สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และดำเนินธุรกิจตามแนวทางทุนนิยมในรูปแบบใหม่ด้วยความยั่งยืน (Stakeholder Capitalism) ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้อง ‘คำนึงถึงประชาชน สังคม และโลก’ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ
“กุญแจสำคัญคือเราต้องทำในสิ่งที่พูด การพูดกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องความยั่งยืนนั้นไม่เพียงพอแล้ว” ชวาบกล่าว
โรเบิร์ต มอริตซ์ ประธานบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส (PwC) กล่าวว่า ความยืดหยุ่น ความยั่งยืน และความคล่องตัว เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตต่อไปในอนาคต เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสาธารณชน ผู้ประกอบการธุรกิจต้องมีความสามารถในการกำหนดแนวทางและดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต
“ระบบเศรษฐกิจที่ได้รับใช้เรามาอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ไม่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายของเราอีกต่อไปแล้ว ซัพพลายเชนของโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงต้นทุนที่ถูกที่สุด ทำให้เกิดการกระจุกตัว แต่จากนี้ไปเรื่อง ESG จะถูกดึงเข้ามาในระบบซัพพลายเชนด้วย” มอริตซ์ระบุ