หลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่า “กรมธรรม์ประกันชีวิต” นั้นคือเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง และถือว่าเป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง ที่เราสามารถเป็นเจ้าของในกระดาษแผ่นหนึ่ง และกระดาษใบนั้นมีมูลค่าได้ ซึ่งกลไกมันก็ไม่แตกต่างกับสินทรัพย์ทางการเงินทั่วไปอย่างหุ้นหรือหุ้นกู้ หรือพันธบัตร เป็นต้น
และแน่นอนว่า สินทรัพย์ทุกประเภท มีกลไกที่สามารถเอามายื่นกู้เพื่อค้ำประกันได้ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถ หุ้น หรือ พันธบัตร ก็ทำได้ทั้งนั้น
ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ก็คือ การขอกู้ซื้อบ้าน หรือ ซื้อรถ ด้วยการขอเงินกู้ finance จากธนาคาร โดยคนขอกู้ก็จะมีเงินดาวน์ในก้อนแรก และที่เหลือก็ผ่อนไปในอัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกับธนาคารเอาไว้
วงเงินในการกู้ ก็จะขึ้นกับราคาประเมินของ บ้าน หรือ รถ ที่เอามาค้ำประกัน ซึ่งปกติแล้ว ธนาคารก็คงจะไม่ได้ให้เต็มวงเงิน เช่น บ้านมูลค่า 30 ล้าน ก็อาจจะปล่อยกู้วงเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งขึ้นกับกรณีของความสามารถในการชำระหนี้ได้ เป็นต้น และถ้าผ่อนไม่ไหว ธนาคารก็ยึดสินทรัพย์ชิ้นนั้นไป เอาไปขายทอดตลาด
ความแตกต่างระหว่าง “บ้าน” กับ “รถ”
สิ่งที่จะแตกต่างกันระหว่าง บ้าน กับ รถ สำหรับธนาคาร คือ บ้าน เป็นทรัพย์สินที่สร้างมูลค่า (อาจจะมีค่าเสื่อมบ้างตามกาลเวลา) แต่ รถ เป็นทรัพย์สินที่มีแต่เสื่อมมูลค่า
ทำให้เราเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ สำหรับ บ้าน และ รถ นั้นมีทิศทางแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยจะเห็นว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ของการผ่อนบ้านนั้นจะ “ต่ำกว่า” ดอกเบี้ยเงินกู้ของการผ่อนรถ นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอาชีพของคนที่มาขอกู้เงินนั้น มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ หรือมีความเสี่ยงต่ำ เช่น หมอ หรือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงมากเป็นพิเศษ เป็นต้น
การใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์
ดังนั้น ถ้าเราเห็นโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำเมื่อไร เราก็สามารถเอาเงินกู้นั้นไปต่อยอดในการลงทุนทำอย่างอื่นได้ เพื่อให้เงินต่อเงิน หรือนำไปสร้าง Leverage แบบความเสี่ยงต่ำต่อไปได้
เราจึงเห็นหลายคนที่ลงทุนพวกอสังหาริมทรัพย์ ชอบพูดคำว่า Leverage และให้เงินต่อเงินไปเรื่อยๆ อยู่บ่อยๆ นั่นเอง
จากที่กล่าวไปทั้งหมดเป็นการปูทางแล้ว เราเคยคิดเอามาเปรียบเทียบกับ “กรมธรรม์ประกันชีวิต” ไหมครับว่า มันมีความคล้ายกับการทำ Leverage ของ บ้าน หรือ อสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องสามารถเอาสินทรัพย์ไปค้ำประกันและธนาคารให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำในระดับหนึ่ง จึงจะถือว่าคุ้มค่าในมุมมองของคนกู้
Premium Financing คืออะไร
ในมุมของบริษัทประกันชีวิต เราเรียกวิธีนี้ว่า Premium Financing ซึ่งก็เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์
จะด้วยเพราะเหตุผลอะไรนั้น โดยมีความเสี่ยงและความคุ้มค่าแค่ไหน เดี๋ยวเราลองมาคิดตามกันดูครับ
สมมติว่า ผู้ชายไทย อายุ 35 ปี ต้องการซื้อประกันชีวิตแบบที่จ่ายเบี้ยครั้งเดียว (single premium) และคุ้มครองไปตลอดชีวิต (whole life) ด้วยทุนประกันชีวิต 7 พันล้านบาท
ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชายไทยสุขภาพปกติ ก็คงจะต้องจ่ายเบี้ยราวๆ 500 ล้านบาท (หรือ ทุนประกันชีวิต ปกติของคนอายุ 30 ต้นๆ ก็จะได้ประมาณ 14 – 15 เท่าของเบี้ย ทั้งนี้ ถ้าซื้อตอนอายุ 45 ปี ก็อาจจะได้แค่ 5 เท่าของเบี้ยเท่านั้น)
แต่กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีมูลค่าเบี้ย 500 ล้านบาทนั้น ปกติจะมีมูลค่าเวรคืนเงินสดในวันแรกที่ซื้ออยู่จะเกือบเท่ากับ ของมูลค่าเบี้ย ซึ่งมูลค่า 500 ล้าน ตัวนี้ สามารถเอามาเป็นตัวค้ำประกันวงเงินกู้ได้สบายๆ
สมมติว่า มูลค่าเบี้ยประกัน 500 ล้านบาท ก็จะแปลว่า เราจะได้วงเงินกู้ เกือบเท่ากับ 500 ล้าน x 90% ซึ่งเท่ากับ 450 ล้านบาท นั่นแปลว่ามูลค่าเบี้ยประกัน 500 ล้าน จะถูกแบ่งออกเป็นเงินกู้ 450 ล้านบาท และเงินดาวน์ที่ต้องจ่ายก้อนแรก ราวๆ จ่ายเบี้ยประมาณ 50 ล้าน เท่านั้น หรือ หมายถึงว่า เราใช้เงินดาวน์เพียง 50 ล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เป็นเบี้ยราวๆ 500 ล้าน ที่จะมีทุนประกันชีวิต ถึง 7 พันล้านบาท !!!
ทั้งนี้ เราก็ยังถือว่า ติดหนี้ธนาคารอยู่ 450 ล้านบาท อยู่ดี ซึ่งก็ขึ้นกับว่าวงเงินกู้ 450 ล้านบาท ที่ได้มานั้น ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เท่าไร ถ้าได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมานั้น เราจะเอาไป leverage หรือ ลงทุนอะไรต่อ ก็เป็นเรื่องของเรา
การทำ Premium financing นี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ต้องมีองค์ประกอบของโครงสร้างต่อไปนี้
- ผู้ซื้อเบี้ยประกัน “ก้อนใหญ่” (เช่น Single Premium หรือเบี้ยสะสมสูง) ไม่อยากใช้เงินสดทั้งหมดทันที
- ธนาคารหรือสถาบันการเงินให้สินเชื่อ (loan) เพื่อจ่ายเบี้ยให้กับกรมธรรม์
- กรมธรรม์หรือ “มูลค่าเวรคืนเงินสด” ถูกเอาไว้เป็นหลักประกันให้กับธนาคาร
- ผู้กู้ต้องชำระดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ซึ่งการทำแบบนี้จะตอบโจทย์ผู้กู้ได้ ถ้าธนาคารให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำพิเศษ
สภาพแวดล้อมในสิงคโปร์และฮ่องกง กับสถานการณ์ในประเทศไทย
สิ่งที่พิเศษและเป็นที่นิยมสำหรับการวางแผนโครงสร้างแบบนี้ คือ ถ้าผู้กู้สามารถหาแหล่งลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ได้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ก็เท่ากับว่า ไม่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และให้เงินทำงานได้ฟรีๆ เลย
ซึ่งทำให้โครงสร้างแบบนี้ เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสิงคโปร์และฮ่องกงนั้นต่ำ และเครื่องมือทางการเงินการลงทุนของสองประเทศนี้เข้าถึงและกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก
ทำให้มีโอกาสให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างสม่ำเสมอ เช่น กู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ 1% – 2% และ ลงทุนในพันธบัตรความเสี่ยงต่ำได้ดอกเบี้ยที่ 4% – 5% เป็นต้น
สำหรับสภาพแวดล้อมการกู้เงินและการลงทุนในประเทศไทยเองนั้น อาจจะมีทิศทางไม่เอื้อประโยชน์เท่าฮ่องกงหรือสิงคโปร์ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารไทยที่มีค่าเท่ากับ 2% – 3% และเอาเงินกู้นั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำก็อาจจะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 2% – 3% เช่นกัน
ทั้งนี้ การนำวงเงินที่กู้เพื่อนำกลับไปลงทุนนั้น มีความเสี่ยงที่ปิดไม่หมดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการโดนเบี้ยวหนี้ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือความเสี่ยงจากสภาพคล่อง เป็นต้น
เพราะไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรีๆ โดยไม่มีความเสี่ยง เพียงแต่มันเป็นความเสี่ยงที่เราเข้าใจและรับได้หรือไม่ ก็เท่านั้นเอง
โดยสรุป Premium Financing คือ Leverage ทางการเงิน Premium financing นั้นเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการซื้อบ้านด้วยวงเงินกู้ และได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพราะบ้านถือว่าเป็นทรัพย์สินที่สร้างมูลค่า
เฉกเช่นเดียวกับกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่ยิ่งถือนาน มูลค่าเวรคืนเงินสดก็จะมีมากขึ้น ไม่มีเสื่อมค่า จึงทำให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่จะต่ำได้เท่าไร และจะเอาเงินกู้ที่ได้มานั้นกลับไปลงทุน เพื่อทำการ leverage ต่อยอดเงินไปได้มากแค่ไหน อันนั้นสุดแล้วแต่ความรู้และความเชี่ยวชาญของนักวางแผนการเงินหรือตัวแทนประกันชีวิตแต่ละท่านที่จะให้คำแนะนำในการต่อยอดอย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง และมองกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบ whole life ว่าเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีมูลค่า หรือเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่เบี้ยกินเปล่า ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน


