วันนี้ (24 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดส่งท้ายปีถึงฉายารัฐบาลว่าตนไม่ได้สนใจเรื่องการตั้งฉายานี้มากมาย แต่อยากจะมองย้อนกลับไปว่าคงไม่อยากให้ตั้งฉายาเป็นเรื่องสนุกสนานมากเกินไป เพราะต้องเห็นใจว่ารัฐบาลได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนผู้ที่เข้ามาอยู่ในระบบการบริหารราชการแผ่นดิน จะว่าคนเก่าคนใหม่ก็ไปดูว่าประชาชนเขาเลือกมา ถ้าประชาชนเลือกมา ตนก็ไม่มีตัวเลือกมากนักที่จะทำอย่างอื่นได้ ตนก็ต้องบริหารงานให้ได้ด้วยวิธีการคือทำอย่างไรให้เขาเข้าใจในการทำงาน ตนคิดว่าทุกอย่างยังเดินหน้าไปได้ด้วยดีอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าโจมตีกันในเรื่องนี้มากนัก ถ้าเราบอกว่าคนใหม่จะเข้ามาในการเมือง เราก็ต้องดูว่าคนใหม่เป็นอย่างไร เข้ามาแล้วจะทำอย่างไรบ้าง ทำได้หรือเปล่า บ้านเมืองจะเสียหายหรือเปล่าก็ต้องไปดูตรงโน้น ตนอาจจะมองในมุมของความมั่นคงไปด้วยในเรื่องของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ว่าจะทำอย่างไรให้อยู่คู่กับประชาชนคนไทยไปได้นานเท่านาน
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่าเรื่องมาตรการดูแลประชาชน ตนให้นโยบายไปแล้วว่านโยบายของรัฐบาลนี้เอาเป้าหมายมาเป็นตัวกำหนดในการจัดทำแผนงานโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะกับคน ภาคธุรกิจ หรืออาชีพต่างๆ มันต้องแยกแยะออกมาว่าเราจะดูแลตรงไหนอย่างไร ในส่วนของประชาชนก็ต้องดูอาชีพโน้นอาชีพนี้ วัยนั้นวัยนี้ รายได้เท่านั้นเท่านี้ แบบนี้ไม่เรียกประชานิยม ถ้าประชานิยมมันต้องหว่านไปทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
“บัตรสวัสดิการฯ มันไม่เหมือนประชานิยมครับ นั่นต้องให้ทั้งหมด 100% นี่ให้เฉพาะผู้มีรายได้ต่ำกว่าแสนบาท ก็ต้องดูแลเขา ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นประชาชนที่มีรายได้น้อย ขอให้ทำความเข้าใจให้ดีแล้วกัน จะมาบอกว่าไม่ชอบที่นายกฯ ทำประชานิยม ผมคิดว่าที่ผมทำไม่ใช่ประชานิยม ถ้าประชานิยมต้องทำให้คนรักผมทั้งหมด ซึ่งมันทำไม่ได้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวในที่สุด
สำหรับฉายาที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลมอบให้รัฐบาลประยุทธ์ 2 ประจำปี 2562 คือ ‘รัฐเชียงกง’
รัฐเชียงกง สะท้อนภาพรัฐบาลคล้ายแหล่งค้าขายอะไหล่มือสอง ประกอบกันขึ้นจากข้าราชการยุคก่อนและนักการเมืองหน้าเก่า แม้ใช้ประโยชน์ได้ แต่ยังขาดความน่าเชื่อถือ สะท้อนความไม่มีเสถียรภาพ
ขณะที่ฉายาของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคือ ‘อิเหนาเมาหมัด’
ยกคำสุภาษิตไทย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เปรียบแนวทางปฏิบัติและนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่เห็นได้ชัดหลายเรื่อง มักจะตำหนิหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสุดท้ายก็กลับมาทำเอง เช่น โครงการลักษณะประชานิยม บอกไม่เป็นนายกฯ สุดท้ายก็กลับมา, ไม่อยากเล่นการเมืองก็หนีไม่พ้น, หนีการตอบกระทู้ในสภา, มองข้ามข้อครหาเรื่องงูเห่าการเมือง การซื้อตัว ส.ส., ตั้งคนมีคดีความที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองเป็นรัฐมนตรี, แต่งตั้งญาติพี่น้องเข้าสภา, ยอมให้พรรคที่สนับสนุนใช้นโยบายค่าแรงหาเสียง ทั้งที่เคยตำหนิว่าการขึ้นค่าแรงเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
อีกทั้งไม่สามารถควบคุมให้รัฐบาลมีความเป็นเอกภาพ เกิดปัญหาติดขัดการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงงบประมาณที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ และฝ่ายตรงข้ามรุมเร้าคล้ายโดนระดมหมัดเข้าถาโถม แม้พยายามสวนหมัดสู้ แต่หลายครั้งถึงกับมึนจนชกโดนตนเองก็มี
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
