×

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชันเชิงอำนาจภายใต้ระบอบประยุทธ์

28.04.2021
  • LOADING...
ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

HIGHLIGHTS

  • การอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นที่แหลมคมของ รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล กลายผู้สร้างปรากฏการณ์ในรัฐสภามาแล้วถึง 2 หน
  • นำมาสู่การตีพิมพ์บทอภิปรายเป็นหนังสือออกสู่สาธารณะในชื่อเล่มว่า ‘เรียนประชาชนที่เคารพ’ ว่าด้วยการรวมบทอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 เรื่อง คือ จากป่ารอยต่อ ถึงตั๋วช้าง 
  • นอกจากความน่าสนใจของเนื้อหา ผู้เขียนคือรังสิมันต์และทีมงาน ยังมีคำนำเสนออันแหลมคมจาก ‘ประจักษ์ ก้องกีรติ’ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้แง่มุมสังคมการเมืองไทย ผ่านเนื้อหาและสายตาของการทำหน้าที่ของรังสิมันต์ภายในเล่มนี้ไว้ด้วย

หากใครได้ติดตามการสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะห้วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รวมถึงคณะรัฐมนตรีที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยส่วนผสมที่หลากหลาย

 

คงจะได้เห็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นที่แหลมคมของ รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ผู้สร้างปรากฏการณ์ในรัฐสภามาแล้วถึง 2 หน

 

กระทั่งนำมาสู่การตีพิมพ์บทอภิปรายเป็นหนังสือออกสู่สาธารณะในชื่อเล่มว่า ‘เรียนประชาชนที่เคารพ’ ว่าด้วยการรวมบทอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 เรื่อง คือ จากป่ารอยต่อ ถึงตั๋วช้าง 

 

รังสิมันต์บอกว่า เมื่อเนื้อหาบางส่วนไม่สามารถอภิปรายในสภาได้ เขาจึงต้องออกมาอภิปรายนอกสภา และประโยค ‘เรียนประธานที่เคารพ’ ประธานที่รับฟังจึงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นประชาชนทุกคนที่เขาตั้งใจรับฟังถึงความเลวร้ายของรัฐบาลนี้

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

 

นอกจากความน่าสนใจของเนื้อหา ผู้เขียนคือรังสิมันต์และทีมงาน ยังมีคำนำเสนออันแหลมคมจาก ‘ประจักษ์ ก้องกีรติ’ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้แง่มุมสังคมการเมืองไทย ผ่านเนื้อหาและสายตาของการทำหน้าที่ของรังสิมันต์ภายในเล่มนี้ไว้ด้วย

 

นับจากบรรทัดต่อจากนี้ คือเรื่องราวที่ประจักษ์ได้ชวนคนไทยย้อนมองภาพสังคมผ่านช้างและป่า รวมถึงการบริหารประเทศของรัฐบาล ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ‘ระบอบประยุทธ์’

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชันเชิงอำนาจภายใต้ระบอบประยุทธ์

หนังสือที่ท่านถืออยู่ในมือเล่มนี้ ซึ่งบันทึกบทอภิปรายไม่ไว้วางใจจากกรณี ‘ป่ารอยต่อ’ มาถึง ‘ตั๋วช้าง’ ของรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ต่อมาพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจึงย้ายมาอยู่พรรคก้าวไกล หนังสือเล่มนี้เป็นเอกสารที่มีความสำคัญ เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัย ที่ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจสภาวะของสังคมการเมืองไทยในห้วงเวลาปัจจุบัน แต่จะช่วยต่อจิ๊กซอว์ให้เราเข้าใจการเมืองไทยที่พลิกผันและเสื่อมถอยมาตั้งแต่ปี 2557 

 

​ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรัฐประหารที่เรียกตนเองว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้ข้ออ้างเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ยุติวิกฤตความรุนแรงบนท้องถนน และคืนความสุขให้ประชาชน โดย ‘ขอเวลาอีกไม่นาน’ 

 

​7 ปีผ่านไป มีหลักฐานและข้อมูลจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า เหตุแห่งความไม่สงบนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจที่ผิดกฎหมาย และวิกฤตความวุ่นวายบนท้องถนนนั้นก็เป็นวิกฤตที่ถูกจงใจสร้างขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนำที่มีอำนาจ มิใช่วิกฤตตามธรรมชาติ ส่วนที่ว่าจะขอเวลาอีกไม่นานนั้น ก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าเป็นคำสัญญาที่เลื่อนลอย

 

​แล้วถ้าการรักษาความสงบไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการยึดอำนาจแล้ว แรงจูงใจที่แท้จริงของการเคลื่อนรถถังออกมาล้มล้างการปกครองและรัฐธรรมนูญของ คสช. คืออะไร 

 

​คำตอบคือ เพื่อเข้ามารวบอำนาจรัฐ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เพื่อจัดระเบียบโครงสร้างอำนาจ และจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่จะเอื้ออำนวยให้กับชนชั้นนำส่วนน้อยในเครือข่ายของ คสช. และกลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

 

​ระยะเวลา 7 ปีภายใต้การกุมอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้องที่สืบทอดอำนาจมาจากการรัฐประหาร ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ พล.อ. ประยุทธ์ กลายเป็นหนึ่งในผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลัง 2475 เป็นรองเพียงแค่จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลถนอม กิตติขจร และ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นนายทหาร และไม่ได้ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้ง นอกจากนั้น การรัฐประหารของ คสช. ยังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐทหารแห่งสุดท้ายในโลก (ก่อนที่นายพลเมียนมาจะทวนเข็มนาฬิกากลับมารัฐประหารในปี 2564) และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังมีการเมืองที่ล้าหลัง ร่วมกับประเทศอย่างซูดาน, บูร์กินาฟาโซ, มาลี,

อียิปต์ และเมียนมา คือ การมีกองทัพใช้กำลังอาวุธเข้ามาแทรกแซงการเมืองและสถาปนาอิทธิพลทางการเมือง

 

​หลังการรัฐประหารของ คสช. นักวิเคราะห์และนักวิชาการส่วนใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศพากันลงความเห็นว่าคณะรัฐประหารจะไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้นาน บทวิเคราะห์หลายชิ้นประเมินว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี หากมองย้อนกลับไปการวิเคราะห์เช่นนี้ น่าจะมาจากฐานคิด 2 อย่าง คือ หนึ่ง นำรัฐประหารของ คสช. ไปเปรียบเทียบกับรัฐประหารในปี 2549 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน และรัฐประหารปี 2534 ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่นำโดย พล.อ. สุจินดา คราประยูร และ พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งการรัฐประหารทั้งสองครั้งนี้ต้องถือว่า ‘เสียของ’ คือบรรดานายพลและพวกพ้องอยู่ในอำนาจได้เพียงสั้นๆ และล้มเหลวในการสืบทอดอำนาจ สอง นักวิเคราะห์จำนวนมากเพ่งมองไปที่ประยุทธ์ในฐานะตัวบุคคล ซึ่งมีบุคลิกภาพและความสามารถที่จำกัดเมื่อเทียบกับผู้นำไทยในอดีต จึงคิดว่าภาวะผู้นำแบบนี้ไม่น่าจะประคองตัวอยู่ในอำนาจได้นาน เนื่องจากฝืนกระแสโลก ขาดความชอบธรรม และปราศจากความนิยม

 

ทว่าความจริงก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม ผู้นำคณะรัฐประหารสามารถยึดกุมอำนาจและสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาได้ยาวนานถึง 7 ปี ทั้งนี้มิใช่เพราะ พล.อ. ประยุทธ์มีความเก่งกล้าสามารถหรือมีวิสัยทัศน์ที่สูงส่ง แต่เป็นเพราะผู้นำรัฐประหารประสบความสำเร็จในการสร้างระบอบการเมืองที่สถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ-ทุน-ประชาชนในรูปแบบใหม่ รวมถึงการสร้างเครือข่ายอำนาจที่กว้างขวางมาครอบงำสังคมไทย ซึ่งผมและอาจารย์วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรียกระบอบอำนาจนี้ว่า ‘ระบอบประยุทธ์’ 

 

จะเข้าใจการเมืองไทยในห้วง 7 ปีที่ผ่านมา และการครองอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ จึงต้องก้าวข้ามการโฟกัสไปที่ลำพังตัว พล.อ. ประยุทธ์ หากต้องเพ่งมองไปให้ลึกถึงเครือข่ายอำนาจและผลประโยชน์อันมหึมาที่อยู่เบื้องหลังประยุทธ์ 

 

​หากจะให้นิยามอย่างรวบรัดที่สุด ระบอบประยุทธ์คือ ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมของกองทัพเพื่อกลุ่มทุนและชนชั้นสูง หรือจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งก็คือระบอบ ขุนศึก-ศักดินา-พ่อค้า นั่นเอง ระบอบเช่นนี้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนที่มั่งคั่งและทรงอำนาจที่สุด 1% บนยอดพีระมิดของสังคมไทย โดยคนที่จ่ายราคาให้กับการดำรงอยู่ของระบอบนี้ก็คือคนไทย 99% ที่เหลือ ​ในสังคมที่ไร้ซึ่งอำนาจ ความมั่งคั่ง และเส้นสาย 

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

 

การอภิปรายของ รังสิมันต์ โรม ชี้ให้เห็นอย่างหนักแน่นและกระจ่างชัดถึงรูปธรรมของสิ่งที่เรียกว่าระบอบประยุทธ์ หรือจะเรียกว่าเป็นการตีแผ่ระบอบประยุทธ์ที่มีเชิงอรรถอย่างแน่นหนา ชี้ให้เห็นการเกาะเกี่ยวผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มชนชั้นนำหลายๆ กลุ่มว่าเอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกันอย่างไร ​ค้ำจุนอำนาจของกันและกันอย่างไร รวมถึงชี้ให้เห็นว่าประเทศชาติและประชาชนเสียผลประโยชน์ไปมากมายมหาศาลอย่างไรบ้าง จากการบริหารประเทศที่ออกนโยบายและกฎหมายที่มุ่งตอบสนองผลประโยชน์ให้กับเครือข่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเครือข่ายอำนาจทางการเมือง 

 

​บทอภิปรายของ รังสิมันต์ โรม ทำการบ้านมาอย่างดี มีข้อมูลที่ค้นคว้ามาทั้งจากแหล่งเอกสารราชการและแหล่งข้อมูลอื่นๆ จนสามารถต่อภาพใหญ่ให้เราเห็นการปกครองแบบคณาธิปไตย (Oligarchy) ของรัฐบาลประยุทธ์ เราได้เห็นตัวละครมากมายในเครือข่ายความสัมพันธ์นักการเมือง-ข้าราชการ-กลุ่มทุนที่สร้างคอนเน็กชันถึงกัน โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่ม 3 ป. และมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ที่มีฐานรองรับอำนาจผ่านเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนทหาร, ส.ว., แต่งตั้ง สนช., สภาปฏิรูปแห่งชาติ, นายตำรวจใหญ่, กรรมการรัฐวิสาหกิจ, พรรคพลังประชารัฐ นอกจากนั้น เรายังได้เห็นถึงการซ้อนทับกันระหว่างกลุ่มทุนประชารัฐ, กลุ่มทุนที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการ กปปส., กลุ่มทุนในมูลนิธิป่ารอยต่อ และกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรังสิมันต์ โรม ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แนวนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐบาลประยุทธ์นั้นมุ่งไปที่การเปิดให้กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ได้ ‘เข้ามามีส่วนในการใช้ประโยชน์จากกลไกของรัฐทรัพยากรของรัฐ บุคลากรของรัฐ ข้อมูลของรัฐ ได้อย่างเป็นทางการ’ ซึ่งทุนประชารัฐภาคธุรกิจเอกชนจำนวนมากก็ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อยกร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีในเวลาต่อมา 

 

​ส่วนเครือข่ายอำนาจของกลุ่ม 3 ป. ก็มีบทบาทร่างรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งและรับรององค์กรอิสระ วางคนของตนเข้าไปอยู่ในหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ และสนับสนุนการตั้งพรรคร่วมรัฐบาล จนสามารถผลักดันให้ พล.อ. ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ได้สำเร็จ 

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

 

​มูลนิธิป่ารอยต่อฯ จึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดที่สุดของผลประโยชน์ทับซ้อน การขาดไร้ธรรมาภิบาล และการคอร์รัปชันเชิงอำนาจ ตั้งแต่ข้อเท็จจริงที่มีการใช้บ้านในค่ายทหารเป็นที่ทำการมูลนิธิเอกชน การสร้างเครือข่ายชนชั้นนำผูกขาดอำนาจรัฐและอำนาจทุน การใช้เงินภาษีประชาชนมาสร้างบารมีและคอนเน็กชันส่วนตัว 

 

​การอภิปรายของรังสิมันต์ โรม ในกรณี ‘ตั๋วช้าง’ ยังเปิดเผยให้เห็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของระบอบประยุทธ์ นั่นคือ การทำลายความเข้มแข็งและหลักคุณธรรมความสามารถของระบบราชการไทย ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ที่มักจะถูกมองข้ามไป นักวิเคราะห์ทั่วไปและสื่อมักจะเข้าใจเอาง่ายๆ ว่ารัฐนาวาของประยุทธ์คือ การรื้อฟื้นรัฐราชการให้เข้มแข็ง แต่นั่นเป็นจริงเพียงในเชิงทฤษฎีในทางปฏิบัติ การบริหารราชการของประยุทธ์และกลุ่ม 3 ป. ทำให้รัฐราชการเสื่อมทรุดทั้งความชอบธรรมและประสิทธิภาพ ดังที่ผู้เขียนเคยชี้ไว้ในบทความระบอบประยุทธ์ว่า

 

การเมืองไทยยุคหลังรัฐประหาร 2557… ที่จริงแล้วระบอบประยุทธ์ได้ทำให้ระบบราชการอ่อนแอลงมากกว่าจะเข้มแข็งขึ้น ระบบราชการไทยถูกทำให้อ่อนแอและขาดขวัญกำลังใจปฏิบัติงาน เนื่องจากความไม่แน่นอนและความคาดเดาไม่ได้ ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่ขึ้นกับอารมณ์ของคนสั่งการของรัฐบาลประยุทธ์ ฝ่ายข้าราชการพลเรือนสูญเสียขวัญกำลังใจ และทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย (ใส่เกียร์ว่าง) มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผชิญกับการใช้อำนาจและคำสั่งของ คสช. ซึ่งมีลักษณะเอาแน่เอานอนไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้นำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพและไร้เอกภาพภายในระบบราชการในระดับที่เข้มข้นกว่าเดิม นำไปสู่ความล่าช้าและความล้มเหลวของความพยายามผลักดันการ ‘ปฏิรูป’ ของคณะรัฐประหาร

 

ช้าง ป่า และการคอร์รัปชัน

 

​กรณี ‘ตั๋วช้าง’ รวมทั้งตั๋วประเภทอื่นๆ ที่รังสิมันต์ โรม ชี้ให้เห็นในการอภิปราย เป็นรูปธรรมที่ชัดแจ้งของการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมและไม่คำนึงถึงหลักการ มีทั้งการวิ่งเต้น การใช้เส้นสาย ระบบอุปถัมภ์ และการแทรกแซงจากอำนาจภายนอกในวงการตำรวจ ซึ่งนอกจากการแต่งตั้งที่ขาดความเป็นธรรมแล้ว ยังมีการใช้พระเดชลงทัณฑ์ข้าราชการชั้นผู้น้อยโดยปราศจากกฎหมายรองรับ ทั้งยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ที่น่าเศร้าคือกรณี ‘ตั๋วช้าง’ ในวงการสีกากีนี้ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาความเสื่อมทรุดและวิปริตผิดเพี้ยนของรัฐไทยในยุคปัจจุบัน ที่หลายองค์กรกลายเป็นแดนสนธยาที่แตะต้องและตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งปัญหาอีกหลายเรื่องยังไม่ถูกนำมาอภิปรายอย่างจริงจังในที่สาธารณะเสียด้วยซ้ำ 

นับเป็นความกล้าหาญของ ส.ส. หนุ่มที่ก้าวเท้าเข้าสู่สภาสมัยแรกอย่างรังสิมันต์ โรม ที่กล้าอภิปรายถึงปัญหาสำคัญของสังคมการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาและเพียบพร้อมด้วยหลักฐาน ซึ่งครอบคลุมถึงสิ่งที่เรียกว่าระบอบประยุทธ์ อาณาจักรประวิตร รัฐพันลึก และ New Network Monarchy แม้ว่าการอภิปรายของเขาในเรื่องมูลนิธิป่ารอยต่อฯ จะถูกสกัดเตะถ่วงไม่ให้ได้พูดในสภา รวมถึงเรื่องตั๋วช้างที่ไม่สามารถอภิปรายจนจบได้ในห้องประชุม แต่เราอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เทคโนโลยีและการสื่อสารสมัยใหม่ทำให้ผู้แทนราษฎรสามารถสื่อสารโดยตรงกับประชาชน โดยยากที่ใครจะขวางกั้นได้ 

 

​นับจากยุคจอมพลที่เผด็จอำนาจและพัวพันกับคอร์รัปชันอื้อฉาวอย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พ.ศ. 2501-2506) มาแล้ว ไม่มียุคใดที่มีการสร้างเครือข่ายคณาธิปไตยของนายพล-ข้าราชการ-นายทุน เพื่อครอบงำประเทศอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนเท่ายุคปัจจุบัน ทั้งยังมีการใช้อำนาจรัฐและกฎหมายแบบลุแก่อำนาจ เพื่อปิดกั้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ไม่โปร่งใส ประชาชนหรือฝ่ายค้านที่กล้าพูดความจริงกลับถูกดำเนินคดีและกลั่นแกล้งคุกคาม

 

 

สิ่งที่นักการเมืองหนุ่มผู้นี้ทำจึงมีความสำคัญ เพราะเขาช่วยพูดแทนประชาชน และการทำหน้าที่เยี่ยงนี้ก็คือการสืบทอดจิตวิญญาณของการเป็นผู้แทนราษฎรที่ทรงเกียรติ ตามรอย ส.ส. ผู้กล้าในอดีตอย่าง ถวิล อุดล, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์, เตียง ศิริขันธ์, จำลอง ดาวเรือง ฯลฯ ที่อาสาเป็นกระบอกเสียงของปวงชน กล้าพูดความจริงกับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉลอย่างทระนง แม้จะต้องเสี่ยงภัยเพียงใดก็ตาม  

 

​มีแต่การทำหน้าที่เช่นนี้เท่านั้น ที่จะคืนความสง่างาม และทำให้รัฐสภาไทยเป็นสถานที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง  

 

​มีแต่การทำหน้าที่เช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองดำรงสถานะอันโดดเด่นและมีความหมายต่อประชาชน 

 

​มีแต่การทำหน้าที่เช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจเกิดขึ้นจริงได้ในระบอบประชาธิปไตย

 

การพูดความจริงเช่นนี้ คือก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะพาสังคมไทยออกจากอาณาจักรแห่งความกลัว และป้องกันไม่ให้สังคมไทยต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของระบอบคณาธิปไตยของ ‘ขุนศึก-ศักดินา-พ่อค้า’ ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising