นับเป็นข่าวเศร้าในแวดวงสื่อดั้งเดิมของไทยอีกครั้ง เมื่อมีรายงานข่าวว่า ‘โพสต์ทูเดย์’ ในเครือ Bangkok Post ได้แจ้งถึงพนักงานในการเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด ‘ฟ้าผ่า’ มีผลวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
วันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา พนักงานถูกเรียกเข้ามาเพื่อชี้แจงถึงการปลดคนทั้งหมด โดยระบุถึงภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงถึงธุรกิจและโฆษณาที่เป็นแหล่งรายได้หลักขององค์กร
ถัดมาในวันที่ 16 มิถุนายน ได้มีการเรียกพนักงานเข้าพบเป็นรายคนเพื่อแจ้งเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรและเงินชดเชยที่จะได้รับตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการปลดครั้งนี้มีพนักงานได้รับผลกระทบราว 20 คนด้วยกัน
บางส่วนไม่ได้ตกใจมากนักเพราะมีการคาดการณ์อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้จะมาถึง โดยในช่วงปี 2564 ได้มีพนักงานทยอยลาออกและบริษัทเองไม่ได้มีนโยบายรับพนักงานเข้ามาทดแทน ขณะเดียวกันทางผู้ถือหุ้นเองก็ไม่ได้มีนโยบายการดำเนินงานที่ชัดเชน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ได้ชำนาญในธุรกิจสื่อมากนัก
สำหรับ ‘โพสต์ทูเดย์’ อยู่ภายใต้ บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ POST (เดิมชื่อ โพสต์ พับลิชชิง) ซึ่งเป็นองค์กรสื่อเก่าแก่ของไทย มีอายุกว่า 76 ปี โดยเริ่มทำธุรกิจจาก ‘Bangkok Post’ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 ได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทยชื่อ ‘โพสต์ทูเดย์’ เน้นการนำเสนอข่าวและเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจและเศรษฐกิจในรูปที่แบบทันสมัยและอ่านเข้าใจง่าย เพื่อเจาะกลุ่มผู้อ่านคนรุ่นใหม่และนักธุรกิจ
ยุคนั้น โพสต์ทูเดย์ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ให้ค่าจ้างนักข่าวมากที่สุดแห่งหนึ่ง ก่อนที่ภูมิทัศน์สื่อจะเปลี่ยน ผู้คนหันไปสนใจสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้ในที่สุดบริษัทได้ปิดหนังสือพิมพ์ไปในเดือนมีนาคม 2562 มีการเลิกจ้างพนักงานกว่า 200 คน ซึ่งได้กระจัดกระจายไปตามสื่อต่างๆ บ้างก็ออกไปทำธุรกิจส่วนตัวหรือขยับไปเป็น PR
การปิดหนังสือพิมพ์ทำให้โพสต์ทูเดย์เหลือเพียงช่องทางดิจิทัล โดยตามเอกสารที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ปี 2564 เว็บไซต์ Posttoday.com มียอดเพจวิวสูงถึง 6 ล้าน ด้าน Facebook ตัวเลขล่าสุดมียอดผู้ติดตาม 3.7 ล้าน
หากมองจากผลประกอบการในปี 2564 การเลิกจ้างก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะ Bangkok Post มีรายได้รวมจากการขายและการบริการ 423.1 ล้านบาท ลดลง 7.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 108.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 364.9 ล้านบาท โดยถือเป็นการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องเป็นปีที่ 8
เครือ Bangkok Post มีรายได้ที่ลดลงเรื่อยมา โดยปี 2563 มีรายได้ 465.9 ล้านบาท ขาดทุน 364.9 ล้านบาท, ปี 2562 มีรายได้ 815.3 ล้านบาท ขาดทุน 308.8 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้ 1,270.2 ล้านบาท ขาดทุน 167.7 ล้านบาท
‘หนังสือพิมพ์’ ถือเป็นรายได้หลักของเครือ Bangkok Post โดยปี 2564 มีรายได้ 291.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 68.8% ของรายได้ทั้งหมด และเป็นรายได้ที่ลดลงเรื่อยมา โดยปี 2563 มีรายได้ 310.7 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้ 520.5 ล้านบาท
เครือ Bangkok Post ระบุว่า ปี 2564 งบโฆษณาในสื่อประเภทต่างๆ มีแนวโน้มลดลง สาเหตุหลักเกิดจากผลกระทบจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เป็นผลมาจากสถานการณ์ภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ทำให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อประเภทต่างๆ
โดยเฉพาะสื่อภาพยนตร์ได้รับผลกระทบสูงสุด รวมถึงสื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และภายในอาคาร แม้กระทั่งสื่อดิจิทัลก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในภาพรวมมีการใช้งบอยู่ที่ 106,636 ล้านบาท
ขณะที่ข้อมูลของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ระบุถึงเม็ดเงินโฆษณาหนังสือพิมพ์ / นิตยสารที่ลดลงเรื่อยมา
ปี 2564 มูลค่า 3,108 ล้านบาท
ปี 2563 มูลค่า 3,833 ล้านบาท
ปี 2562 มูลค่า 5,671 ล้านบาท
ปี 2561 มูลค่า 7,416 ล้านบาท
ปี 2560 มูลค่า 9,684 ล้านบาท
โดยสถานการณ์ภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโดวิด ส่งผลให้งบโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์และโฆษณาลดลง โดยสื่อสิ่งพิมพ์ในปี 2564 มีเม็ดเงินโฆษณาทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาท ลดลง 19% จากปีก่อน และสื่อนิตยสารมีเม็ดเงินโฆษณาทั้งสิ้น 602 ล้านบาท ลดลง 17%
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคสื่อจากสิ่งพิมพ์เป็นสื่อออนไลน์ ซึ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือ Bangkok Post ทั้งสิ้น แม้จะมีคาดการณ์ว่าการโฆษณาบนสื่อและกิจกรรมการตลาดในปี 2565 จะฟื้นตัวไปพร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย ประเมินภาพรวมจะเติบโต 5%
สิ่งที่ต้องจับตาคือฝ่ายบริหารจะทำอย่างไรกับหัว ‘โพสต์ทูเดย์’ ต่อไป เพราะฝ่ายที่ปลดไปเป็นกองบรรณาธิการ แต่ยังมีเว็บไซต์และ Facebook ที่ยังไม่ได้ระบุถึงการปิด โดยแหล่งข่าวในแวดวงสื่อระบุว่า ก่อนหน้านี้มีการถามซื้อเกิดขึ้นแต่ไม่ได้ขาย ซึ่งตอนนี้อาจมีการขายเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้ซื้อและราคาจะอยู่ที่เท่าไร
หมายเหตุ: มีการเพิ่มข้อมูลเมื่อเวลา 16.00 น.