×

ตำรวจเผย พบผู้เสียหายถูกตัดเงินในบัญชีกว่า 4 หมื่นราย เร่งหาตัวผู้ก่อเหตุ ชี้ภัยไซเบอร์เกิดจากการขาดสติของผู้ใช้

โดย THE STANDARD TEAM
18.10.2021
  • LOADING...
กรไชย คล้ายคลึง

วันนี้ (18 ตุลาคม) พล.ต.ท. กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตั้งโต๊ะแถลงข่าวหลังพบมิจฉาชีพล้วงข้อมูลและหลอกถอนเงินจากบัญชีธนาคารบัตรเดบิตและบัตรเดบิตประชาชนหลายครั้งอย่างผิดปกติ โดยเปิดเผยว่า ตอนนี้พบผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว 40,000 ราย เบื้องต้นตีมูลค่าความเสียหายร่วม 10 ล้านบาท โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีข้อสั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลและกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1-9 รับแจ้งความทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว ขอย้ำเตือนประชาชนให้เก็บข้อมูลเลขหน้าบัตร 16 หลัก และเลขความปลอดภัยด้านหลังบัตรจำนวน 3 หลัก เป็นความลับ

 

“ประชาชนต้องคิดก่อนคลิก เช็กก่อนโอน อย่าเปิดไฟล์และอีเมลที่ไม่รู้จัก อัปเดตซอฟต์แวร์ ติดตั้งระบบแอนตี้ไวรัส และสำรองข้อมูลอยู่เสมอ เพราะภัยไซเบอร์มักเกิดจากการขาดสติของคนใช้” พล.ต.ท. กรไชย กล่าว

 

พล.ต.ท. กรไชย กล่าวด้วยว่า ได้ดำเนินการจับมือกับหลายภาคส่วน โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย เพื่อเร่งหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี และได้เชิญผู้ให้บริการแอปพลิเคชันต่างประเทศที่ให้บริการในไทยมาร่วมหารือแล้ว

 

ด้าน พล.ต.ต. นิเวศน์ อาภาวศิน ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากการสอบสวนพบว่า คนร้ายมีข้อมูลหมายเลขหน้าบัตรและหลังบัตร รวมถึงวันหมดอายุของบัตร สันนิษฐานว่าได้มา 3 วิธี ได้แก่ 

 

  1. ผูกบัตรไว้กับแอปพลิเคชัน 
  2. หลอกลวงให้กรอกข้อมูลในรูปแบบฟิชชิงอีเมล หรือ SMS  
  3. ข้อมูลหลุดจากเครื่องรูดบัตร และมีการซื้อขายในตลาดมืด 

 

พล.ต.ต. นิเวศน์ กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบพฤติกรรมการดูดเงินของคนร้าย จะดูดเงินจำนวนไม่กี่บาทแต่หลายยอด เพราะหากเป็นบัตรเดบิตจะไม่มีการส่งข้อความแจ้งเตือนให้ผู้เสียหายรู้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องประสานกับร้านค้าที่รับชำระ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกลุ่มผู้ประกอบการออนไลน์ถึงมาตรการป้องกัน เช่น การลงทะเบียนร้านค้าออนไลน์ การปรับมาตรการแจ้งเตือนชำระสินค้าและบริการที่ยอดไม่ถึงขั้นต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

 

“ที่ผ่านมาคนร้ายจะเป็นรายย่อย แต่ครั้งนี้คนร้ายมีการทำโปรแกรมขึ้นมา อาจทำคนเดียวหรือทำเป็นขบวนการ ซึ่งหากคนร้ายอยู่ภายนอกประเทศก็อาจติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่จะเอาผิด เบื้องต้นพบว่า มีความผิดข้อหาใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา และหากสืบสวนพบคนร้ายได้ข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ จะมีความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย” พล.ต.ต. นิเวศน์ กล่าว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถเข้าถึงตัวคนร้ายได้เมื่อไร พล.ต.ท. กรไชย ทิ้งท้ายว่า “อาชญากรทิ้งร่องรอยไว้เสมอ อะไรที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising