ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤต หนังสือเล่มใหม่ของ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ปัญญาฝ่าวิกฤต คล้ายจะเป็นแสงเทียนในความมืดมิด
เขาใช้เวลาร่วมปีในการค้นคว้าหาข้อมูล ถอดบทเรียนจากอดีต และเวลาอีกร่วมชีวิตในการบูรณาการความรู้ทุกศาสตร์ เพื่อหาคำตอบว่า วิกฤตครั้งนี้เกิดจากอะไร ทางออกของประเทศไทยคืออะไร และทำไมการใช้ ‘ปัญญาเหนือกว่าธรรมเนียมปฏิบัติธรรมดา’ จึงสำคัญในการฝ่ามหาวิกฤตครั้งนี้
ไม่ว่าคุณจะมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร นี่คือบทสัมภาษณ์ที่คนรุ่นใหม่ควรฟัง และผู้มีอำนาจต้องฟังอย่างยิ่ง
จุดเริ่มต้นของหนังสือ ปัญญาฝ่าวิกฤต
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้ว ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผมเก็บตัวอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ได้เห็นบางคนซึมเศร้า หดหู่ บางคนก็น่าจะมีเวลาครุ่นคิดว่าชีวิตจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ผมจึงใช้เวลาช่วงนั้นในการอ่านหนังสือและเรียบเรียงความคิด เพื่อพิจารณาถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จนพบว่ามันเป็นวิกฤตในทุกด้านที่ทับถมทวีคูณเข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าจะวิกฤตด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงสังคม แท้จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านี้ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันล้วนแล้วแต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต หากคุณได้เห็นเหตุและปัจจัยทั้งหมด รวมถึงตัวละครต่างๆ ที่ขับเคลื่อนโลกและประเทศไทยในอดีต คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสังคมไทยและเศรษฐกิจโลกเดินมาสู่จุดนี้ เพราะประวัติศาสตร์สามารถอธิบายแพตเทิร์นได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
หนังสือที่ผมเขียนในยุคหลังเป็นไฮบริดที่เชื่อมโยงทุกศาสตร์เข้าด้วยกัน เพราะคนคนหนึ่งไม่มีเวลามากพอที่จะศึกษาเฉพาะศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งแบบลงลึกได้ รวมถึงวิกฤตที่ชุมนุมกันทุกวันนี้ เราไม่สามารถใช้ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งในการทำความเข้าใจและรับมือได้ หนังสือเล่มนี้คือหนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสังคมการเมืองระดับสั้นที่ทำให้เข้าใจง่าย และใช้ทฤษฎีบริหารธุรกิจสมัยใหม่เข้าไปอธิบายการเมืองไทย ผมนำทุกเรื่องมาไฮบริดเข้าด้วยกัน เพื่อทำแพลตฟอร์มใหม่ให้ทุกคนมองเห็นกรอบความคิดที่กว้าง และมองเห็นเหตุและปัจจัยต่างๆ ในทุกมิติที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เราสามารถผ่านพ้นทุกวิกฤตไปได้ ถ้ามีปัญญา
คำว่าวิกฤตในรากศัพท์ภาษาโบราณจริงๆ คือ Choice และ Decision หมายความว่า ทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นในทุกสังคม คุณมีทางเลือก และคุณจำเป็นต้องตัดสินใจว่าคุณจะเลือกทางไหน ถ้าคุณเลือกทางที่ถูก วิกฤตจะคลี่คลายและเกิดทางออก จนกลายเป็นปัญญาขึ้นมา แต่ถ้าคุณเลือกทางที่ผิด วิกฤตจะเจอทางตัน และจะกลายเป็นวิกฤตที่ซ้อนวิกฤตไปเรื่อยๆ เสมือนการหลงเข้าไปในเขาวงกต
วิกฤตจะเป็นตัววัดคุณภาพของผู้นำหรือประมุขศิลป์ว่า ประมุขของประเทศมีศิลปะหรือมีศาสตร์ในการตัดสินใจหรือไม่ ประเทศเราที่ดำรงอยู่ทุกวันนี้ผ่านความเสียสละของผู้นำในอดีตมาเป็นจำนวนมาก นี่คือเรื่องที่ผมพูดว่าในภาวะวิกฤตสูงสุดของประเทศชาติ ผู้นำใช้การตัดสินใจแบบไหน มีคุณภาพการตัดสินใจอย่างไร รู้ว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง รู้ว่าอันตรายคืออะไร โอกาสใหม่คืออะไร และจะใช้การตัดสินใจอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้พูดเรื่องเหล่านี้ไว้ทั้งหมดว่าสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นวิกฤต ลูกศรที่ยิงเข้ามาหาคุณ แท้จริงแล้วอาจจะเป็นปัญญาที่พาคุณออกจากวิกฤตไปก็ได้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากสื่อว่าทำไมในวิกฤตจึงมีปัญญา เพราะถ้าคุณคิดว่ามันเป็นวิกฤต คุณก็จะเห็นแต่วิกฤต แต่ถ้าคุณคิดว่าวิกฤตครั้งนี้มันมีปัญญาและทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออก คุณจะสร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศได้ เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันพาประเทศนี้ไปสู่ทางออกที่ดีขึ้น ไม่ใช่พาประเทศกลับไปสู่วิกฤตอย่างที่แล้วมา
วิกฤตคือการวัดคุณภาพของผู้นำหรือประมุขศิลป์ ที่บอกว่าวิกฤตซ้อนวิกฤต ผู้นำจำเป็นต้องใช้การตัดสินใจแบบไหน ถ้าคุณตัดสินใจถูก คุณจะพาประเทศชาติไปสู่ปัญญา แต่ถ้าคุณตัดสินใจผิด คุณจะพาประเทศชาติไปสู่วิกฤตซ้ำ มันจะเป็นเครื่องวัดว่า ประมุขของประเทศมีศิลปะและมีศาสตร์ในการที่จะตัดสินใจหรือไม่
ปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้เกิดวิกฤตครั้งนี้
ก่อนหน้าจะมีวิกฤตนี้ เรามีเรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถ้านึกย้อนกลับไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีไข้หวัดสเปน เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตมากมาย แค่ในตอนนั้นเราไม่รู้จักไข้หวัดสเปนเท่านั้นเอง สมัยก่อนการเดินทางยังไม่รวดเร็วขนาดนี้ และยังไม่มีอินเทอร์เน็ต กว่าจะรู้ว่าเกิดวิกฤต กว่าจะสื่อสารข้อมูลข้ามมหาสมุทรมาถึงเมืองไทยก็ดีเลย์ไป 2 ปีแล้ว เหตุและปัจจัยเกิดขึ้นในราชสำนักหมดแล้ว มีการตัดลดงบประมาณ มีความไม่พึงพอใจทางการเมืองมาจากคนข้างล่างอยู่แล้ว ถ้าคุณได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์มามากพอ จะเห็นเลยว่าการชุมนุมของวิกฤตในอดีตมันมาพร้อมอยู่แล้ว และสถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากสถานการณ์ในอดีต ปัจจัยชุมนุมรอบด้านทั้ง 4 ทิศ คือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ได้นำมาสู่วิกฤตทั้งหมด มันคือการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากอดีต เพราะมีเทคโนโลยีที่รวดเร็วขึ้น มันจึงเกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นไม่ต้องไปโทษใครเลย เพราะนี่คือการชุมนุมของวิกฤตครั้งใหญ่ของโลก และไม่แปลกที่จะเกิดขึ้นในทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยของเรา
สถานการณ์ปัจจุบันคือปัจจัยชุมนุมรอบด้านทั้ง 4 ทิศ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มันนำมาสู่วิกฤตทั้งหมด ไม่ต้องมีใครปลุกปั่นในประเทศ ไม่ต้องบอกว่ามีคนไปล้างสมองเด็ก ไม่ต้องบอกว่ามีแกนนำม็อบอยู่เบื้องหลัง และไม่ต้องไปโทษปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งหรอก เพราะถ้าคุณขาดปัจจัยที่คุณเห็นรอบด้าน คุณจะมองสถานการณ์ได้ไม่ขาด
สิ่งที่ต่างออกไปจากวิกฤตครั้งก่อนๆ คือ การมีปรากฏการณ์วันมิลเลียน วันมิลเลียนหมายถึง หนึ่งคือล้าน ล้านคือหนึ่ง อธิบายง่ายๆ คือ สมัยก่อนต้องใช้เหตุปัจจัยชุมนุมเยอะมากจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม เพราะสมัยก่อนไม่มีเทคโนโลยีให้ติดต่อสื่อสารกัน จะประชุมอะไรก็ต้องคอยแอบคอยซ่อน แต่ทุกวันนี้ไม่ต้องแล้ว เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์วันมิลเลียน คนหนึ่งคนมีพลังเท่ากับคนหนึ่งล้านคน และมันกระจายไปรวดเร็วมาก เปรียบเสมือนดาราที่มีคนติดตามหนึ่งล้านคน จะขายอะไรก็ขายได้ ดังนั้นทำไมผู้นำทางความคิดที่มีคนติดตามหนึ่งล้านคนจะขายความคิดและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้ คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจสิ่งนี้ เพราะมันเป็นการทำงานทางความคิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และไม่มีตำราสอนในโรงเรียนเสนาธิการ อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือเรื่อง ฮิวริสติก ซึ่งหมายถึงการไม่รู้ว่าทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร แต่ทุกคนกำลังหาว่าทางที่จะไปสู่เป้าหมายคืออะไร เสมือนการเดินทางของผึ้ง เป้าหมายของมันคือการออกไปหาน้ำผึ้งที่ดีที่สุดในป่า มันต้องหาทางบินให้ไม่ชนกันเอง เพื่อไปเอาน้ำผึ้งที่ดีที่สุดกลับมารวมกันแล้วสร้างรังขึ้นมา ซึ่งมันทำได้ แสดงว่ามันมีแพตเทิร์นในการสื่อสาร ดังนั้นความเคลื่อนไหวทางการเมืองรอบนี้มันจึงเป็นฮิวริสติก ถ้าคุณไม่เข้าใจทฤษฎีเหล่านี้ คุณไม่มีทางจับแพตเทิร์นทางการเมืองได้ถูก เพราะนี่คือโลกใหม่ที่เชื่อมเข้ากับวิทยาศาสตร์ทางสมองสมัยใหม่
One Million หนึ่งคือล้าน ล้านคือหนึ่ง คุณไปประมาทว่า คุณจะกำจัดคน 2 คน ออกไปอยู่ในจุดที่เขาทำอันตรายคุณไม่ได้ แต่กลายเป็นว่า 2 คนกลายเป็น 2 ล้าน แล้วถ้ามันเพิ่มขึ้นแบบเอกซ์โพเนนเชียล เติบโตก้าวกระโดดเป็น 4 ล้าน เป็น 16 ล้าน นี่คือปรากฏการณ์ที่เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วคนรุ่นเก่าจับไม่ได้
คิดอย่างไรกับการแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยากเปลี่ยนแปลง อยากเห็นอนาคตที่ดีขึ้น ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยังมีความสุขกับอดีต
การที่เราตั้งข้อสังเกตกันเอง คนอาจจะบอกว่าเราคิดไปเอง ความจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ ผมจึงขบคิดเรื่องนี้มานานมากว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร และผมก็ได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า อีลาสติก ผมตั้งชื่อภาษาไทยว่า วิชายืดหยุ่น คนเขียนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ ที่น่าสนใจคือมันสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยเป็นวิทยาศาสตร์ได้ การที่ลูกหลานเด็กรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ทางการเมืองมากมายขนาดนี้ แล้วคุณบอกว่ามีคนไปปลุกปั่นทางความคิด ไปล้างสมองพวกเขา แสดงว่าคุณไม่เคยอ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เลย สมองไม่ได้ล้างง่ายขนาดนั้น ยิ่งคนที่เป็นอนุรักษ์นิยมและยึดติดกับความคิดตนเอง ยิ่งล้างสมองไม่ได้เลย การที่เขาคิดแบบเดิมแบบเก่าอยู่ เพราะเขายังอยู่ในคอมฟอร์ตโซนตลอดเวลา ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่าสมองของเขาถูกฟรีซหรือถูกแช่แข็งไว้ เขาเชื่อในความคิดแบบบนลงล่าง คิดตามลำดับขั้น และเชื่อด้วยว่าทุกคนต้องคิดแบบเขา ในขณะที่สมองของเด็กเป็นอีลาสติก เป็นสมองของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับสื่อเร็ว ข้อมูลที่เด็กได้รับ ความรู้ที่เด็กได้เรียน สิ่งที่เด็กได้ศึกษามาในช่วง 10 ปีนี้มันมากกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียนรู้มาตลอดชีวิตด้วยซ้ำ เด็กไม่สามารถใช้วิธีคิดแบบเก่ารับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ เขาจึงจำเป็นต้องพัฒนาวิธีคิดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่า วิชายืดหยุ่นหรืออีลาสติก ผู้ใหญ่ไม่มีทางเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะคิดว่าชีวิตของเขาปลอดภัยอยู่แล้ว อีลาสติกทำให้เขาเสี่ยง เมื่อไรที่ออกนอกคอมฟอร์ตโซน ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นทันที สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้กำลังสะท้อนว่ายีนที่ฝังอยู่ลึกที่สุดในตัวของเด็กทุกคนเชื่อมถึงกันหมดด้วยประสาทวิทยา ยีนของเด็กรุ่นนี้บอกว่า ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมในวันนี้ เจเนอเรชันใหม่ทั้งหมดจะไปไม่รอด นี่คือจิตวิญญาณของยุคสมัย และเป็นปรากฏการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้
ถ้าสมองมันล้างได้ คุณต้องล้างคุณก่อน กลุ่มที่ถูกล้างสมองได้ยากที่สุด คือคนที่เป็นอนุรักษนิยมและยึดติดกับความคิดตัวเอง สมองมันถูกฟรีซไปแล้ว ในขณะที่เด็กได้รับข้อมูลข่าวสารรวดเร็วและมหาศาล เขาจึงจำเป็นต้องพัฒนาวิธีคิดที่เรียกว่าวิชายืดหยุ่น มันจึงเกิดการแกงขึ้นมาไง ทวิตเตอร์มีจริงเท็จตลอดเวลา ผู้ใหญ่บอกแกงไม่ได้ หลอกไม่ได้ ประกาศชุมนุมก็ต้องชุมนุม แต่เด็กบอกไปอยู่ไหนมา กูจะแกงมึง
เห็นด้วยหรือไม่ว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต
วิกฤตครั้งนี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะ Mindset ทั้งสองฝ่ายถูกดึงออกจากกัน ฝ่ายหนึ่งมีวิธีคิดที่ไม่ยอมยืดหยุ่นใดๆ เลย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอีลาสติกที่พยายามกอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง กอบกู้ประเทศชาติและอนาคตของพวกเขา ถ้าฝ่ายหนึ่งพยายามทำความเข้าใจและปรับ Mindset ของตนเองก่อน ว่ามันไม่ใช่ขั้นตอนจากบนลงล่าง เพราะไม่มีประเทศชาติไหน หรือองค์กรธุรกิจไหนที่ใช้ความคิดแบบแข็งตัวแล้วจะรับมือกับวิกฤตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ถ้าคุณปรับวิธีคิดของคุณได้ คุณจะเข้าใจคนรุ่นใหม่ และเข้าใจว่านี่เป็นเพียงยีนของการเอาตัวรอดของคนเจเนอเรชันต่อไปที่จะช่วยรักษาคุณไว้ด้วย ดังนั้นมาหาทางออกแบบยืดหยุ่นกันดีกว่า คุณรับมือวิกฤตโควิดอย่างไร คุณต้องรับมือกับการเมืองแบบนั้น พักอุดมการณ์ทางการเมืองลงไปก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีทางเข้าใจแพตเทิร์นของสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น คุณใช้ความรุนแรงในการรับมือวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นวิกฤตที่ซ้อนวิกฤตอยู่
คุณทิ้งเรื่องการเมืองไปให้หมดนะ แล้วคุณก็คิดว่า เผ่าพันธุ์ลูกหลาน เขาเห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยสถานการณ์บ้านเมืองไปแบบเดิม มันไปต่อไม่ได้ เขาจึงพยายามกอบกู้สถานการณ์ ด้วยวิธีคิดแบบยืดหยุ่น ถ้าคุณเห็นว่าเขากำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ประเทศชาติ และคนทั้งหมดในสังคม คุณจะเข้าใจเลยว่ามันเป็นเพียงแค่ยีนของการเอาตัวรอด จากคนรุ่นเจเนอเรชันต่อไปที่จะช่วยรักษาคุณไว้ด้วย
คิดเห็นอย่างไรกับการที่มีคนบางส่วนรู้สึกว่ากลุ่มที่เป็นอีลาสติกจะมาถอนรากถอนโคนในสิ่งที่เขายึดถือไว้บางอย่าง และทางออกของสถานการณ์นี้คืออะไร
คนกลุ่มนี้กลัวว่าการออกมาเคลื่อนไหวของนักศึกษาและเยาวชนรุ่นใหม่จะนำไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เขาเลยออกมาปกป้องแบบแข็งตัวเต็มที่ ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ในอดีต จะรู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นสถาบันที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวสูงมาก ดังนั้นไม่จริงเลยกับการที่เด็กตั้งประเด็นขึ้นมาว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่เคยปรับตัว เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่สูงสุดของสังคมไทย เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ปรับตัวเลย สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีความยืดหยุ่นสูงมาก และปรับตัวเองมาตลอดช่วง 200 ปีที่ผ่านมา และหากพูดในภาพใหญ่ สถาบันหรือองค์กรที่อยู่ได้ในโลกสมัยใหม่มีอยู่สถานการณ์เดียวคือ คุณต้องดิสรัปต์ตัวเอง เพราะถ้าคุณไม่ปรับตัว คุณจะทานกระแสความเปลี่ยนแปลงต่อไปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องดิสรัปชัน และไม่นำมาใช้กับทุกสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มันจะเดินต่อไปไม่ได้ เสียงเรียกร้องจากภายนอกเป็นแค่เสียงที่บอกให้คุณดิสรัปต์ตัวเองได้แล้ว ก่อนที่คู่แข่งของคุณจะมาดิสรัปต์ ตอนนี้หัวใจสูงสุดที่จำเป็นต้องปรับตัวและปรับตัวช้าที่สุด แต่มีอำนาจเยอะที่สุดคือรัฐ รัฐเอาความชอบธรรมมาจากไหนที่จะบอกว่าฉันจะไม่ปรับตัวเลย ฉันจะเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีองค์กรไหนอยู่ได้ถ้าทำแบบนี้
วันนี้ถูกต้องแล้วว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ ประวัติศาสตร์ได้สอนเราไว้ทั้งหมดแล้ว กรุณาอ่านอดีตเถอะว่า พระราชวงศ์ปรับตัวและรักษาให้สืบทอด ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 200 กว่าปีได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เราควรจะพูดกันและสนทนากัน
คิดอย่างไรกับ 10 ข้อเรียกร้องที่ตอนหลังขมวดไปเป็น 1 ความฝันของผู้ชุมนุม
ถ้าย้อนอดีตกลับไปก่อน 2475 ที่ยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เราคงเสนอสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้อีลาสติกทำให้เกิดความยืดหยุ่นทั้งฝ่ายเจ้าและฝ่ายราษฎร มันเลยดำเนินต่อไปได้ ถ้าเราเชื่อว่ายุคสมัยการปกครองในปัจจุบันที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นคุณสมบัติที่ดีมากในการสร้างสมดุลให้เกิดในสังคมไทย นี่คือคุณค่าทั้ง 2 อย่าง สถาบันพระมหากษัตริย์และประชาธิปไตยดำรงอยู่ด้วยกันได้ เพียงแต่เราต้องหาทางออกให้ได้ว่าจะอยู่กันอย่างไรโดยรักษาสมดุลของ 2 คุณค่านี้ไว้ด้วยกัน ถ้าทำได้มันจะเป็นการเข้าสู่คุณค่าของโลกสมัยใหม่ เป็นคุณค่าของประชาธิปไตยที่ไม่มีใครอยากล้มล้าง ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดที่ผมจะเสนอก็คือ ราชและประชาสมาสัยต้องอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล เราควรสร้างสมดุลใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อที่จะเป็นยุคชาววิไลที่แท้จริง ทุกฝ่ายต้องรวมพลังกัน ทั้งเยาวชนของชาติ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายก้าวหน้า เพื่อจะสร้างโมเดลที่ดีที่สุดของประเทศไทยในทางการเมืองขึ้นมา เราอยู่ใน Crisis หรือวิกฤตที่พาเรามาอยู่ตรงกลางแล้ว แต่เราต้องสร้างปัญญาหรือ Wisdom ออกไปให้ได้ คือการทำให้เป็นราชกับประชาอยู่ร่วมกันได้ การสร้างสังคมสันติสุขขึ้นมาให้ได้ นี่คือทางออกเดียวของประเทศไทยที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรง
ถ้าให้เลือก ผมก็ยังเลือกสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่กับประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นุ่มนวล และดำรงคุณค่าของสังคมไทยไว้ได้มากที่สุด แต่คุณต้องเข้าใจว่านี่คือยุคประชาธิปไตย ถ้าคุณยอมรับแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คุณจะแตะอะไรไม่ได้เลย มันจึงนำมาสู่ 2475 คือการแตกหัก ฉะนั้นอย่าหมุนเข็มนาฬิกากลับไปที่ 2474 ต้องหมุนเข็มนาฬิกาไปที่ 2564
อยากบอกอะไรเกี่ยวกับวิกฤตครั้งนี้ เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างแบบนี้ได้อย่างไร
ถ้าเรามองในภาพใหญ่ มนุษย์ทุกคนมีอีโก้ เพราะเราคิดว่าเรามีศักดิ์ศรี มีความเชื่อ แต่ถ้าเราคิดว่าเราเป็นแค่เผ่าพันธุ์เล็กๆ ที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน เราจะมองได้ไกลขึ้น เราทะเลาะกันเรื่องการเมืองโดยลืมไปว่าโลกยังร้อนอยู่ น้ำแข็งขั้วโลกกำลังจะละลาย แท้จริงแล้วเรามีปัญหาทางนิเวศวิทยา มีปัญหาทางมนุษยชาติที่ใหญ่กว่านั้น สังคมไทยหรือสังคมโลกตอนนี้พยายามเอาตัวรอดจากวิกฤต เด็กมีวิธีการเอาตัวรอดแบบหนึ่ง พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีวิธีการเอาตัวรอดจากวิกฤตอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราเห็นวิกฤตที่ใหญ่กว่าและคิดว่าเราเป็นแค่สปีชีส์หนึ่งเท่านั้น เราจะมีความเมตตาต่อกัน เราจะเตรียมการเพื่อรับมือกับสิ่งที่ใหญ่กว่า ทุกวันนี้อีโก้หรืออัตตาของคนแต่ละฝ่ายที่แบกรับไว้ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ถ้าคุณเห็นภาพใหญ่คุณจะไม่ทะเลาะกันเรื่องเล็ก ถ้าคุณเห็นปัญหาของโลก คุณจะไม่ทะเลาะกันเรื่องที่บ้าน
ถ้าเรามองด้วยสายตาของพระเจ้า เราเป็นแค่ไวรัสตัวเล็กๆ ที่รวมตัวอยู่ในโลก ไวรัสกำลังถกเถียงว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าอย่างไร แล้วไวรัสก็ถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายมากเลย โดยหารู้ไม่ว่าภัยที่ใหญ่กว่านั้นกำลังจะมา
มีความหวังไหมกับวิกฤตครั้งนี้
ผมมีความหวังเสมอ ผมจึงเขียนว่ามีวิกฤตเลยต้องมีปัญญา คนทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เขาเผชิญหน้ากับวิกฤตมาไม่น้อยกว่าคนยุคเราแน่นอน เพียงแต่ความทุกข์ที่เกิดกับเรามันใหญ่เสมอเมื่อเทียบกับความทุกข์คนอื่น แต่ละยุคแต่ละสมัยมีรัฐบุรุษ มีประชาชน เรามีผู้นำที่พาประเทศชาติเราผ่านวิกฤตมาได้ แล้วทำไมยุคนี้เราจะผ่านไปไม่ได้ เราจะผ่านไปได้ด้วยปัญญารวมหมู่ของพวกเราทุกคน ปัญญาคือทางที่เราจะพาตัวเราเองออกไปจากวิกฤตนี้เพื่อไปสู่อนาคต การที่เราออกไปต่อสู้ เพราะเรามีความหวังว่ามันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เห็นจุดของปัญหาร่วมกัน มันจะเกิดเป็นจุดคานงัดครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราจัดการวิกฤตได้อย่างถูกต้อง เรารับมือได้อย่างชาญฉลาด นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยได้แน่นอน
ในพระราชพงศาวดาร มีคำทำนายของรัตนโกสินทร์ ยุคทมิฬถิ่นกาขาว ยุคนี้เป็นยุคชาววิไล เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อราชประชาสมาสัย ถ้าการจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ คือการทำให้ราชกับประชาอยู่ร่วมกันได้ สร้างสังคมสันติสุขอยู่ใหม่ขึ้นมาให้ได้ นี่คือทางออกเดียวของประเทศไทยที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรง
เครื่องมือและวิธีคิดแบบไหนที่จะพาเราพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้กลายเป็นปัญญา เพื่อหาโอกาสให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ประเด็นสำคัญคือ ไม่มีใครรู้อนาคต สิ่งที่ทุกคนอยากรู้มากที่สุดตอนนี้คือ อนาคตจะเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วหมอดูที่แม่นที่สุดหรือนักทำนายอนาคตที่เก่งที่สุดก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คุณได้แค่ประมาณการเท่านั้น ดังนั้นเราสามารถทำนายอนาคตได้จากการศึกษาอดีตอย่างถี่ถ้วนว่าคนในอดีตที่ผ่านมาเขาเจอวิกฤตต่างๆ เหล่านี้ เขาปรับตัวอย่างไร เรามีจิตวิญญาณในตัวเราทุกคน มันคือจิตวิญญาณแห่งการไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมตาย และมันกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยยุคสมัย เมื่อจิตวิญญาณของเราถูกปลุกให้ตื่น คุณจะเริ่มเกิดปัญญา คุณจะเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณสากลทั้งหมด จนเริ่มคิดหาทางออกเพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พลิกวิกฤตให้เป็นปัญญาขึ้นมาได้ เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาและความยืดหยุ่น ค่อยๆ ปรับตัวทีละก้าว แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณ เปลี่ยนแปลงยุคสมัยไปอย่างไม่หวนกลับ จงกล้าหาญและสร้างสรรค์ ผมพูดเรื่องนี้กับทุกสื่อ เพื่อต้องการสะท้อนให้เกิดจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย เราควรอยู่ข้างเดียวกับประวัติศาสตร์ อยู่ข้างเดียวกับจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย มาเป็นพวกเดียวกันเถอะ ทำ 1+1 ให้กลายเป็น 2 ทำ 2 ให้กลายเป็นสองล้าน ทำสองล้านให้กลายเป็นทั้งประเทศ แล้วประเทศเราจะมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่
จิตวิญญาณแห่งยุคสมัยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว คุณดับไฟนี้ไม่ได้หรอก คุณจะเอาน้ำไปฉีด คุณไล่คนได้ แต่ไล่ไฟที่มันถูกจุดขึ้นในหัวใจคนไม่ได้ ถ้ามองให้เห็นความจริงข้อนี้ แล้วคุณคิดว่าคุณจะทำการเมืองแบบเดิมเพื่อรักษาอำนาจ คุณจะรักษาอนาคตของคุณไว้ไม่ได้ คุณจะเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์
สมัครงานตำแหน่ง Producer รายการ The Secret Sauce
https://thestandard.co/jobs/
สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย
Credits
Show Creator นครินทร์ วนกิจไพบูลย์
Show Producer ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Creative ภัทร จารุอริยานนท์
Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ
Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Shownote หนึ่งฤดี ธนสารวิสุทธิ์
Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Webmaster ณฐพร โรจน์อนุสรณ์
Social Media Admin สุทธกิตติ์ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, ณัฐชัย ตั้งวงศ์วิวัฒน์
Archive Officer ชริน จำปาวัน
Music westonemusic.com
Intern เอกราช มอเซอร์