×

เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน

28.01.2025
  • LOADING...

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและมีค่าฝุ่นในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ THE STANDARD พูดคุยกับ ศ. ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ถึงช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน

 

ไทยยังไม่มีการกำหนดค่าสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าว่า เมื่อ 30-40 ปีก่อน ประเทศสหราชอาณาจักรที่อาจารย์เคยเดินทางไปศึกษาต่อ มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศกันแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานดังกล่าว และนี่เป็นหนึ่งในช่องโหว่สำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่นในไทยกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง

 

เทียบเคียงได้กับปัญหาเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย ถ้าที่ผ่านมารัฐไม่มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย โอกาสที่คนเมาแล้วขับจะเกิดอุบัติเหตุจนสร้างผลกระทบให้กับตนเองและคนรอบข้างก็มีสูงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าตราบใดที่รัฐยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์ทั้งหลายในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรวมถึงโลหะหนักอย่างสารหนู แคดเมียม และปรอท ก็จะทำให้ผู้ปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งหลายไม่ถูกควบคุมด้วยเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและรัดกุมจากภาครัฐ 

 

 

ไทยยังขาดการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ครอบคลุม และจริงจัง

 

ศ. ดร.ศิวัช อธิบายว่า ถ้าจะทำความเข้าใจเรื่องฝุ่น และต้องการทำให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดและจริงจังอย่างแท้จริงนั้น จะต้องทราบข้อมูลพื้นฐานเรื่องฝุ่น เช่น แหล่งกำเนิดฝุ่นมีที่มาทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งฝุ่นส่วนใหญ่ที่มีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของคนนั้น มักเป็นฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อีกทั้งฝุ่นในตอนนี้ เมื่อเทียบกับฝุ่นเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกัน เพราะฝุ่นในปัจจุบันอันตรายกว่าเดิมมาก และมีแนวโน้มที่จะมีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงกว่า

 

อาจารย์ยังยกตัวอย่างวิกฤตฝุ่น PM ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงมาก โดยรัฐบาลจีนเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่แหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ แทนที่จะจัดการกับแหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และทราบดีว่าวิกฤตฝุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเป็นฝุ่นที่พัดมาจากทะเลทราย ยากที่จะควบคุม

 

สิ่งที่ทางการจีนทำคือ หากโรงงานอุตสาหกรรมไหนปล่อยมลพิษมากเกินเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดก็ใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง เช่น สั่งย้ายโรงงาน หรือสั่งปิดโรงงาน รวมถึงเดินหน้าสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้สถานการณ์ฝุ่นโดยรวมในเมืองหลวงของจีนดีขึ้นอย่างมาก 

 

 

นอกเหนือไปจากการเผาในภาคการเกษตร ไอเสียจากยานพาหนะและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุของฝุ่น PM ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในประเทศไทยที่ ‘มักถูกมองข้าม’ คือ ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากการใช้ ‘ปุ๋ยไนโตรเจน’ อย่างบ้าระห่ำ

 

ประเทศไทยใช้ปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีมากจนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือไนโตรเจนจะทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับออกซิเจน กลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และไปทำปฏิกิริยากับแก๊ส BVOCs (Biogenic Volatile Organic Compounds) หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาจากพืช ถ้าเป็นพื้นที่ในเมืองที่มีไอเสียรถยนต์จำนวนมาก อาจจะเป็นแก๊ส VOCs (Volatile Organic Compounds) และกลายเป็นฝุ่น PM และโอโซน (O3)

 

สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือ ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการเกิดฝุ่น PM และโอโซนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตรงนี้ เนื่องจากฝุ่น PM และโอโซนที่มากจนเกินไปก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของผู้คน เช่น ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า คนไทยนอกจากจะต้องสนใจค่าฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังจำเป็นต้องสนใจด้วยว่ามีอะไรอยู่ในฝุ่นเหล่านั้นบ้าง พร้อมทั้งแนะนำว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยควรจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์อย่างโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท ไว้อย่างชัดเจน ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังอธิบายว่า บางครั้งค่าฝุ่นสูงอาจไม่ได้แปลว่าฝุ่นนั้นมีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์สูงมากอย่างที่เราคาดคิด ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน หากวิเคราะห์ฝุ่นแล้วพบว่า องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นไม่ได้มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงมาก ภาครัฐก็อาจประกาศเตือนและลดความตื่นตระหนก พร้อมแนะนำมาตรการรับมือให้กับประชาชน ในทำนองเดียวกัน หากในสถานการณ์ที่ค่าฝุ่นไม่สูงมาก แต่ตรวจพบว่ามีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ภาครัฐก็จะต้องยกระดับการป้องกันและประกาศเตือนประชาชนให้รับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการสันดาป หรือโรงงานถลุงเหล็กที่มีการปล่อยสารก่อมะเร็งออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้สูงมาก 

 

 

ฝุ่นข้ามพรมแดน ความท้าทายของไทยและอาเซียน

 

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘ฝุ่นข้ามพรมแดน’ ที่มีต้นกำเนิดของฝุ่นอยู่ภายนอกประเทศ มีส่วนทำให้วิกฤตฝุ่น PM ภายในประเทศไทยซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงความรู้ เทคนิค และการบริหารจัดการวิกฤตฝุ่นระหว่างกัน ทั้งยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับจุดร้อน ฝุ่นควัน และสนับสนุนการกำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง

 

ขณะที่รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศก็เดินหน้าแก้ไขวิกฤตฝุ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน การผลักดันประเด็นฝุ่นพิษในการประชุมอาเซียน รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (AATHP) แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นข้ามพรมแดนก็ยังเผชิญความท้าทายอยู่มาก เช่น ข้อจำกัดด้านกฎหมายและการบังคับใช้ในแต่ละประเทศ ความแตกต่างของนโยบายและลำดับความสำคัญระหว่างประเทศ การขาดงบประมาณและทรัพยากร รวมถึงการขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตามและประเมินผล เป็นต้น

 

ศ. ดร.ศิวัช ระบุว่า ถ้าจะแก้ไขวิกฤตฝุ่นในอาเซียนจะต้องสนใจภาพรวมในระดับภูมิภาค (Regional Scale) เนื่องจากปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดน (Transboundary Issue) สุดท้ายแล้วการมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดในระดับภูมิภาคอาเซียนก็อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง

 

อาจารย์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับฝุ่นข้ามพรมแดนไว้ว่า ถ้าจุดตรวจจับฝุ่นควันได้รับการติดตั้งในพื้นที่บริเวณชายแดนของประเทศ A และ B ซึ่งอาจมีระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตร หรือมีแค่แม่น้ำคั่นกลางเท่านั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่นข้ามพรมแดนในลักษณะนี้อาจไม่ต่างจากแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศมากนักหากมองจากดาวเทียมอวกาศ แต่ถ้าแหล่งกำเนิดฝุ่นข้ามแดนเกิดขึ้นภายนอกประเทศในจุดที่ถูกลมพัดพาเป็นระยะทางไกล (Long Range Transportation) และใช้ระยะเวลานานหลายวัน ฝุ่นที่ถูกลมพัดพาให้ข้ามพรมแดนมาอาจทำปฏิกิริยากับสารเคมีอื่นๆ จนทำให้องค์ประกอบทางเคมีหรือสารก่อมะเร็งต่างๆ ที่อยู่ในฝุ่น PM เปลี่ยนแปลงไปจากฝุ่นที่เกิดขึ้น ณ จุดต้นกำเนิด และอาจถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ย่อยสลายหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของสารพิษที่อยู่ในฝุ่นได้เช่นกัน แม้ฝุ่นข้ามพรมแดนจะยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน แต่ก็อาจไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบได้มากเท่ากับฝุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในประเทศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า ถ้าเรามุ่งเน้นไปที่สุขภาพของประชาชนภายในประเทศ การควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศของเราเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการรับมือวิกฤตฝุ่น ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปยังแหล่งกำเนิดฝุ่นภายนอกประเทศ 

 

บทเรียนจากสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมา อาจารย์ระบุว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจนอย่างมากในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM โดยสิงคโปร์สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศได้เกือบทั้งหมด รถยนต์เก่าที่ปล่อยควันพิษในปริมาณมากจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน เว็บไซต์กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ถึงกับเคยระบุว่า สิงคโปร์จะไม่ตัดถนนเพิ่มเติมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ มีเพียงมลพิษที่มาจากเรือ (Shipping Emission) ที่ยังคงเป็นความท้าทายของสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่า มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกมาจอดเทียบท่าเป็นจำนวนมาก

 

แต่สิ่งที่ตามมาคือ สิงคโปร์สามารถควบคุมคุณภาพอากาศในสภาวะปกติได้ดีมาก ถึงแม้จะเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่มาจากการเผาในภาคการเกษตรของอินโดนีเซีย แต่สิงคโปร์ก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ใช้ทั้งมาตรการไม้แข็ง ทั้งสั่งปรับ ขึ้นบัญชีดำ และยุติการทำธุรกรรมต่างๆ กับบริษัทหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และใช้มาตรการไม้อ่อนด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในอินโดนีเซียเลิกเผาเพื่อบรรเทาวิกฤตฝุ่น ทำให้ปัญหาฝุ่นข้ามแดนจากอินโดนีเซียมายังสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ไทยอาจเป็นต้นตอปัญหาฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้าน

 

ศ. ดร.ศิวัช ยังชี้ว่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าทิศทางของกระแสลมเปลี่ยนแปลง ต้นทางลมอยู่ที่ประเทศไทย และปลายทางลมอยู่ทิศประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งกำเนิดฝุ่นในไทยก็จะทำให้ไทยกลายเป็นต้นตอของฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะไปพูดถึง พ.ร.บ.อากาศสะอาดอาเซียน เราอาจจะต้องช่วยกันผลักดันให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยเกิดขึ้นได้จริง และช่วยกันตรวจสอบว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้มีเนื้อหาอย่างไร และยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางกลุ่มอยู่หรือไม่ 

 

ส่วนแนวโน้มวิกฤตฝุ่นอาเซียนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อาจารย์มองว่าถ้าวิกฤตฝุ่นนี้เกี่ยวโยงกับการเผาในภาคการเกษตร จุดนี้อาจต้องใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจัดการ เปลี่ยนสิ่งที่ชาวบ้านหรือเกษตรกรจะเผาให้กลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า เปลี่ยนชีวมวลให้กลายเป็นเงิน เช่น การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าชีวมวลให้กลายเป็นน้ำมันไพโรไลซิส ซึ่งสามารถกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลหรือเบนซินได้ รวมถึงการส่งออกชีวมวลส่วนเกินต่างๆ ไปเป็นอาหารสัตว์ในฟาร์มต่างประเทศ 

 

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในกลุ่มประเทศอาเซียนว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับชีวมวลเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน โดยทิศทางในภาพรวม พื้นที่เมืองมีแนวโน้มที่วิกฤตฝุ่นจะดีขึ้น เนื่องจากระบบขนส่งต่างๆ จะหันมาพึ่งพาไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ขณะที่พื้นที่ชนบทก็อาจจะยังคงเผชิญปัญหานี้ต่อไป หากรัฐไม่สามารถอุดช่องโหว่ต่างๆ และลดต้นตอการเกิดฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สอดคล้องกับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เสนอแนะแนวทางที่สามารถทำได้จริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ดังนี้

 

  1. ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสียรถยนต์ โดยการยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 พร้อมกับจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  2. ลดการเผาชีวมวล พร้อมสนับสนุนการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแทนการเผา และสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  3. บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ที่ทำให้เกิดการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน

 

โดย ดร.สมเกียรติ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับปัญหาฝุ่นข้ามแดน พร้อมทั้งแนะให้รัฐบาลไทยหามาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการซัพพลายเชนในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร รวมถึงเตรียมจัดหาอาชีพเสริมให้กับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ และบริหารจัดการให้ดียิ่งขึ้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising