วันนี้ (3 ธันวาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการแถลงผลปฏิบัติการถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ โดยมี ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ร่วมแถลงข่าวความสำเร็จจากการปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 50 จุด ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางรายการสำคัญ ทั้งเรือยอชต์ รถหรู ที่ดิน และอายัดเงินในบัญชีรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท
สืบเนื่องจากการสืบสวนขยายผลและบูรณาการร่วมกันระหว่างสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฉ้อโกงประชาชน คณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 จึงมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ ซึ่งเชื่อมโยงเส้นทางการเงินและการกระทำความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างชัดเจน
สำหรับรายละเอียดของคดีที่นำมาสู่การยึดทรัพย์ครั้งใหญ่นี้เริ่มต้นจาก คดีเฉิน จื้อ กับพวก ซึ่งเป็นเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group โดยพบพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลและสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯ จึงสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท
ถัดมาคือ คดีก๊ก อาน (Mr. Kok An) เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้าสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินและนำเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในไทยให้ผู้อื่นถือครองแทน โดยในคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท
คดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดีแตงไทยฯ กับพวก ซึ่งเชื่อมโยงกับ ยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และ เบน สมิธ (Mr. Smith Ben) บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อนเพื่ออำพรางธุรกรรม
คณะกรรมการฯ จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่าง ๆ จำนวน 66 รายการ รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท นอกจากนี้ เลขาธิการ ปปง. ยังได้ใช้อำนาจเร่งด่วนยึดรถหรูเพิ่มเติมอีก 3 คัน ได้แก่ ZEEKR รุ่น 009, FERRARI รุ่น 488 GTB และ PORSCHE รุ่น CAYENNE S E-HYBRID COUPE ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินราคา
ส่วนคดีเอื้ออังกูร กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกำไรเท็จเพื่อจูงใจ ก่อนจะนำเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
ทั้งนี้ คำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวมีผลชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน โดยผู้ถูกยึดทรัพย์หรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้มาจากการกระทำความผิด ต่อเลขาธิการ ปปง. ได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
ในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว อนุทิน เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามถึงประเด็นความเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูง โดยเฉพาะกรณีที่วรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมว.คลัง และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารู้จักกับ เบน สมิธหนึ่งในตัวละครสำคัญของเครือข่ายนี้
อนุทินชี้แจงว่า การรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติ ตนได้มอบนโยบายชัดเจนว่าให้ดูที่การกระทำเป็นหลัก หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชื่อเสียงเพียงใด โดยยึดหลักการทำงานที่ว่าปิดชื่อ ถือพฤติกรรม คือไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร แต่ให้ดูพฤติการณ์การกระทำความผิด หากตนไม่ดำเนินการเช่นนี้ ก็จะตกเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง
นอกจากนี้ อนุทินยังเปิดเผยถึงมาตรการเด็ดขาดต่อกลุ่มทุนสีเทาที่แฝงตัวเข้ามา โดยได้สั่งการไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ดำเนินการ เพิกถอนสัญชาติไทยของ ยิม เลียก (Mr. Leak Yim) ประธานกรรมการ BIC Bank ธนาคารพาณิชย์กัมพูชา ซึ่งตรวจสอบพบว่าได้สัญชาติไทยมาจากการสมรสกับหญิงไทย (หมวด 6) โดยให้ดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกับรายอื่นๆ ที่ถูกเพิกถอนไปก่อนหน้านี้
ตอนท้ายของการแถลง อนุทิน ในฐานะผู้นำรัฐบาล ได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ทั้งตำรวจ ปปง. ดีอี และกระทรวงยุติธรรม ที่ทุ่มเททำงานหนักท่ามกลางความเสี่ยง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลชุดนี้แม้เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 8 สัปดาห์ แต่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย และจะเดินหน้ากวาดล้างขบวนการเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่หรือเทศกาลใด
“อาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีการพัฒนาตลอดเวลา เหมือนกับวลี Catch me if you can (จับฉันให้ได้ถ้านายแน่จริง) แต่ในฐานะรัฐบาลและผู้รักษากฎหมาย เราต้องตอบกลับไปว่า I can always catch you (ฉันจับแกได้เสมอ) เราจะไม่หยุดปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติ” อนุทิน กล่าวทิ้งท้าย











