วันนี้ (26 ตุลาคม) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทันทีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาตอบกระทู้ถามสดด้วยตนเอง
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส. ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ตั้งกระทู้ถามสดเรื่องผลการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ พบปะผู้นำระดับสูงของฮ่องกง บรูไน สิงคโปร์ จีน และซาอุดีอาระเบีย ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าประเทศไทยได้รับอะไรจากการเดินทางบ้าง พร้อมเอ่ยแซวว่า วันนี้ตนจะไม่ถามนายกฯ ว่าใส่ถุงเท้าสีอะไร เพราะโซเชียลคงจะสนใจถุงเท้าของท่าน แต่ตนมองว่าไม่ว่าจะใส่สีอะไรก็เป็นเรื่องปกติ หากไม่ใส่ไปคงจะเป็นเรื่องผิดปกติที่ต้องตั้งกระทู้ถาม
โดยนายกรัฐมนตรีได้ลุกขึ้นชี้แจง ยืนยันว่าตนให้เกียรติกับสภาเสมอ ถ้าไม่ติดภารกิจจำเป็น พยายามจะมาตอบกระทู้ข้อที่สมาชิกสงสัย เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ต้องให้เกียรติฝ่ายนิติบัญญัติ โดยการเดินทางเยือนเป็นหน้าที่ของผู้นำประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งทั้ง 5 ประเทศถือเป็นคู่ค้าหลักของประเทศไทยในหลายแง่
สำหรับการเดินทางเยือนฮ่องกงได้เชื้อเชิญให้เดินทางมาลงทุนที่ประเทศไทย ขณะที่สาธารณรัฐบรูไนได้พูดคุยกันในแง่ของการค้าขาย ทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย และการสร้างความมั่นคงทางอาหารของบรูไน การเดินทางเยือนมาเลเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีมีความกังวลเรื่องการล่าสัตว์ที่แพร่หลายทางตอนใต้ของไทยและทางตอนเหนือของมาเลเซีย จึงขอให้ไทยกำกับในเรื่องนี้ ขณะที่การค้าชายแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย มีความเห็นตรงกันว่า สามารถทำได้อีกมากหากเชื่อมโยงถนนและสะพาน รวมถึงการลงทุนระหว่างภาคเอกชน
นายกรัฐมนตรีระบุอีกว่า การเดินทางเยือนสิงคโปร์ได้ปรึกษาหารือเรื่องการค้าขายในอนาคต ซึ่งตนได้สานต่อจากรัฐบาลที่แล้วเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีการขยายโรงงานอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมยังมีเรื่องของการเปิดประตูการค้าทางการเกษตร ส่วนซาอุดีอาระเบียมีการพูดคุยเรื่องการค้าขาย และการช่วยเหลือตัวประกันให้กลับมาได้ด้วยความปลอดภัย เป็นการสานสัมพันธ์ตามนโยบายเปิดประตูการค้า
“สรุปสั้นๆ เป็นการประกาศว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ประเทศไทยพร้อม เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงทุนในประเทศไทย” เศรษฐากล่าว
ส่วนคำถามที่ 2 เรื่องของการลงทุนกับต่างประเทศ อัครเดชได้สอบถามถึงการเจรจาของนายกรัฐมนตรีว่ามีโครงการอะไรบ้างที่น่าสนใจ ขอให้นายกรัฐมนตรีบอกพี่น้องประชาชนได้รับทราบถึงความเจริญที่จะมีขึ้นหลังจากนี้
เศรษฐาระบุว่า เรื่องของการลงทุนเราให้ความสำคัญเรื่องภาคอุตสาหกรรม S Curve ทั้งหมด ไม่ว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหรือรถยนต์ไฟฟ้า ตรงนี้เรามีความชัดเจนมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว โดยหารือกับภาคเอกชนให้มาลงทุน ไม่ใช่แค่ลงทุนโรงงานผลิตอย่างเดียว แต่อยากให้ลงทุนด้านห่วงโซ่การผลิตเพื่อธุรกิจรายย่อยของประเทศไทย น่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ยังรวมถึงแลกเปลี่ยนบุคลากรด้วย
ส่วนปัญหาที่ผ่านมารัฐบาลยังทำได้ไม่ค่อยดีในอดีต คือเรื่องของข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เรื่องนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะต้องเจรจาดีลต่างๆ ให้ได้เพื่อให้ประเทศคู่ค้าสบายใจ ว่าหากลงทุนที่ประเทศไทย เรามีสนธิสัญญาการค้าที่จะช่วยผลักดันระหว่างกัน
สำหรับคำถามที่ 3 ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องคนไทยที่ไปทำงานในประเทศอิสราเอลนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า สงครามอิสราเอลและฮามาสเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับทั้งตนเองและรัฐมนตรีทุกท่าน เรามีปัญหาในการลำเลียงแรงงานกลับมา แม้ปัจจุบันมีการแจ้งเจตจำนงประมาณ 8,000 กว่าคน ตอนนี้นำกลับมาได้ 4,000 คน เหลืออีกครึ่งหนึ่งซึ่งปัญหาใหญ่ในการจัดการคือมีแรงงานเปลี่ยนใจไม่กลับ เนื่องจากนายจ้างสัญญาว่าจะให้เงินเพิ่ม
“ทำไมเขาจะต้องไปแลกชีวิตด้วยเงินพิเศษอีก 50,000 บาท และต้องอยู่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งเราเองทราบอยู่แล้วว่าสงครามนี้จะพัฒนาไปในความรุนแรงที่มากขึ้น รวมถึงการปฏิบัติการภาคพื้นดินจะนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมโหฬาร สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวด้วยว่า เราไม่ได้นิ่งนอนใจต้องทำแผนซ้อนแผน เพราะอิสราเอลพยายามยื้อให้แรงงานเราอยู่ ขอบคุณที่แนะนำให้แรงงานไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย จะให้เจ้าหน้าที่ไปติดต่อ ขณะเดียวกันทราบมาว่าแรงงานที่เดินทางไปทำงานบางส่วนมีหนี้สำหรับเดินทางไป ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังทั้งสองท่านจึงได้ประสานไปยังธนาคาร ธ.ก.ส. เพื่อขอสินเชื่อไม่เกิน 1.5 แสนบาท ดอกเบี้ย 0.1% ระยะเวลาผ่อนจ่าย 10-20 ปี เพื่อให้แรงงานกลับมาโดยเร็ว และรัฐบาลต้องเยียวยาโดยหาแหล่งงานใหม่ให้ พร้อมย้ำด้วยว่ารัฐบาลนี้จะต้องยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน