×

พิธาชี้ ประยุทธ์ใช้งบแผ่นดินครบ 20 ล้านล้าน สูงสุดในประวัติศาสตร์ อัดรัฐบาลหาเงินไม่ได้ ใช้เงินไม่เป็น

01.07.2020
  • LOADING...

วันนี้ (1 กรกฎาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีม ส.ส. พรรคก้าวไกลร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ว่า วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่สภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดอนาคตของพี่น้องชาวไทยด้วยงบประมาณปี 2564 มูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท ปี 2564 นอกจากจะเป็นปีที่ประชาชนทุกข์แสนสาหัสแล้ว ยังต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยว่าเป็นปีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20 ล้านล้านบาทตั้งแต่บริหารประเทศมาจากปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่น่าแปลกใจที่เงินมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมากเพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น

 

“อย่างที่ผมเคยกล่าวไปว่าการแก้ไขปัญหาประเทศต่อจากนี้ ถ้าเราจะบริหารงบประมาณแบบเดิม แล้วคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ใหม่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าเราจะใส่เม็ดเงินลงไปมากเท่าใดก็ตาม น่าเสียดายที่งบประมาณปี 2564 เป็นการ ‘จัดงบประมาณเหมือนประเทศไทยไม่มีวิกฤต’ ไม่ได้ต่างอะไรกับงบปี 2563 มากนัก สถานการณ์ประเทศ ณ ขณะนี้ เดือนมิถุนายนเป็นเดือนสุดท้ายที่ผู้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศมาตรการรองรับใดๆ เดือนกรกฎาคมก็จะเป็นเดือนสุดท้ายที่พี่น้องเกษตรกรกว่า 7 ล้านครัวเรือนรับเงิน 5,000 บาท ส่วนกลุ่มคนเปราะบางไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการกว่า 6.7 ล้านคน จะได้รับเงินเยียวยา 1,000 บาทเป็นเดือนสุดท้ายเช่นเดียวกัน” พิธากล่าว 

 

นอกจากนั้นพิธาได้กล่าวถึงปัญหาของกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ใช้ชีวิตกันอย่างไม่มีหลักประกันและได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งชัดเจนว่ากระทรวงแรงงานน่าจะต้องเพิ่มและมีโครงการที่จะช่วยเหลือพี่น้องนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ มีหลักประกันในชีวิต มีโครงข่ายทางสังคมรองรับ แต่ตนต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องด้วย งบประมาณของกระทรวงแรงงานถูกลดลง 3,000 ล้านบาท และไม่มีแผนโครงการที่จะช่วยนำพี่น้องเข้าสู่ระบบ สำหรับพี่น้องที่กำลังจะตกงานและต้องหางานใหม่กว่า 8 ล้านคนทั่วประเทศ 

 

ในส่วนพี่น้องชาวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่า ปัญหา PM2.5 พร้อมกับปัญหาโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ตนต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ปีนี้งบประมาณแผนยุทธศาสตร์จัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อมแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ส่วนงบของการแก้ไขปัญหาไฟป่านั้นเพิ่มขึ้น 260 ล้านบาท แต่ตัวชี้วัดไม่ได้เพิ่มขึ้นตามงบประมาณด้วย นั่นก็หมายความว่ามีโอกาสที่พี่น้องชาวภาคเหนือจะต้องทุกข์ทรมานกับปัญหาเดิมๆ หรืออาจแย่กว่าเดิม

 

ด้านพี่น้องชาวอีสานที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งพร้อมกับปัญหาโควิด-19 ถึงแม้ปีนี้กรมชลประทานจะได้งบประมาณมากขึ้นถึง 8,000 ล้าน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่างบประมาณนั้นจะสะท้อนความรุนแรงของปัญหาน้ำในประเทศ การรวมศูนย์ของงบประมาณและการเน้นการเยียวยามากกว่าป้องกันปัญหาไม่ต่างอะไรกับที่ตนได้อภิปรายไปเมื่อปีที่แล้ว

 

ทั้งนี้พี่น้องภาคใต้ที่รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปเกือบทั้งหมด ประสบปัญหาราคายางตกต่ำเพราะส่งออกไม่ได้ พร้อมกับปัญหาโควิด-19 โดยสามัญสำนึกตนคิดว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยควรจะมีแผนการการประมาณการที่สะท้อนสถานการณ์จริง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่างบประมาณปีนี้สร้างความหวังหรือทำให้คนสิ้นหวัง ประชาชนก็คงจะเป็นคนที่ตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี

 

“พี่น้องประชาชนที่เคยหวังพึ่งระบบ AI ของรัฐบาล และทุลักทุเลกับการขอเงินเยียวยา 5,000 บาท สามัญสำนึกก็บอกผมว่าน่าจะมีงบประมาณอะไรสักอย่างที่จะมาต่อยอดจาก ‘เราไม่ทิ้งกัน’ ทำ Digital Wallet หรือ Smart ID Card ที่ทำให้รัฐบาลสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีกว่าเดิม ทั่วถึงกว่าเดิม รวดเร็วกว่าเดิม ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้รัฐต้องปิดเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ไม่มีงบประมาณ โครงการเหล่านี้อยู่ในงบปี 2564 หรือถ้ามีก็ไม่รู้ว่าตัวชี้วัดคืออะไร” พิธากล่าว

 

พิธากล่าวด้วยว่า ขณะที่ในส่วนของการกู้เงินให้เป็นนั้น รัฐบาลต้องบริหารให้เกิดความน่าเชื่อถือ สร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ และกู้มาสร้างรายได้ให้กับประเทศ ถ้ารัฐบาลกู้มาคอร์รัปชัน แบ่งเค้กกันเอง กู้แล้วประเทศไม่เกิดรายได้ ประเทศก็ไม่น่าเชื่อถือ ดอกเบี้ยก็จะยิ่งแพง แล้วยิ่งถ้ารัฐบาลหันมาปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างจนเกิดความไร้เสถียรภาพ ดอกเบี้ยก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีก ซึ่งตนอยากฝากไว้กับรัฐบาลว่าในกรณีที่ใช้เงินก็ไม่เป็น หาเงินก็ไม่เป็น วิกฤตครั้งนี้เราคาดหวังความช่วยเหลือจากต่างประเทศเหมือนในอดีตไม่ได้แล้ว เพราะลำบากกันทั้งโลก โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ในวิกฤตครั้งนี้เราหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากต่างชาติไม่ง่ายอีกต่อไป เราต้องคิดเพื่อรองรับระเบียบโลกใหม่ตรงนี้ไว้ด้วยเช่นกัน  

 

โดยสรุป งบประมาณที่ตนเเละพรรคก้าวไกลเห็นชอบจะต้องสะท้อนว่ารัฐบาลใช้เงินเป็น หาเงินเป็น และกู้เป็น


การใช้เงินเป็น รัฐบาลต้องเตรียมสวัสดิการโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคมให้เพียงพอกับความเดือดร้อนของประชาชนในมหาวิกฤต และรัฐบาลต้องใช้จ่ายเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแห่งโลกอนาคต ไม่ใช่แค่การตัดถนน 2 แสนล้าน การหาเงินให้เป็นนั้น รัฐบาลต้องกระจายอำนาจให้การคลังท้องถิ่นจัดเก็บรายได้และบริหารเงินได้เองมากขึ้น และต้องหารายได้จากภาษีให้มากขึ้นจากคนบนยอดพีระมิดของสังคม ไม่ใช่คนรากหญ้า

 

พิธากล่าวทิ้งท้ายว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ตนได้อ่านดูแล้วเหมือนรัฐบาลเห็นว่าประเทศไม่มีวิกฤต โลกปรับแล้ว แต่งบประมาณไทยยังไม่เปลี่ยน ประเทศเผชิญมหาวิกฤตรุมเร้า แต่รัฐบาลยังคงจัดกระเป๋าไปตามปกติ ตนจึงไม่สามารถเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2564 ในวาระ 1 ได้

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising