ติดตาม พิมรี่พาย หรือ พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ แม่ค้าฝีปากกล้ามาตั้งแต่คลิปขายของที่เป็นไวรัลเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และแวะเข้าไปดูเธอ ‘ขายไป ด่าไป’ เพื่อคลายเครียดอยู่บ่อยๆ ระยะหลังก็ติดตามเรื่องราวของแม่ค้าวัย 30 ปีคนนี้ผ่านทางยูทูบ จนยอมรับว่าเป็นหนึ่งในแฟนคลับพิมรี่พายกับเขาเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเพลิดเพลินกับพรสรรค์ในการด่าของพิมรี่พายหรอก แต่เพราะชื่นชมในการบริหารชื่อเสียงของเธอต่างหาก
จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ใดๆ ก็ตามผู้เขียนคิดว่า พิมรี่พายคือนักการตลาดที่เก่งและรู้จักบริหารชื่อเสียงของตัวเองจากสิ่งที่ทุกคนก็มีนั่นคือ ‘สัญชาตญาณ’ เพียงแต่สัญชาตญาณของพิมรี่พายมันบอกให้ทำอะไรแบบถูกที่ถูกเวลา จนอยากให้ใครๆ ทำความเข้าใจไว้นะลูก เผื่อวันหน้าวันหลังเกิดดังจนกลายเป็นไวรัลจะได้ทำแบบเธอบ้าง
เชื่อในสัญชาตญาณไง…หนูเข้าใจใช่ไหมลูก
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อคลิปขายไป ด่าไป ของพิมรี่พาย กลายเป็นไวรัล ถ้าเป็นเน็ตไอดอลคนอื่นก็คงตอบรับการสัมภาษณ์จากสื่อหลายสำนักที่พุ่งเข้าหา และรีบ ‘โกย’ ก่อนที่ชื่อเสียงจะหายไป แต่พิมรี่พายเลือกที่จะไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อไหนเลยด้วยเหตุผลว่า เธอคือแม่ค้า และต้องการจะสื่อสารกับลูกค้ามากกว่า รวมทั้งบุคลิกที่ไม่ชอบประจ๋อประแจ๋กับใคร เลยเลือกแนะนำตัวให้คนรู้จักผ่านช่องทางของตัวเองเท่านั้น ข้อดีอย่างแรกก็คือเธอจะเล่าเรื่องของตัวเองได้ในทุกแง่มุม แบบที่ตัวเองควบคุมได้ ข้อต่อมาคือผู้ติดตามอีกมหาศาล เพราะมันคือช่องทางเดียวที่จะได้รู้จักกับแม่ค้าสุดฮอต ณ เวลานั้น ซึ่งเป็นข้อดีทั้งกับธุรกิจและการสร้างฐานแฟนคลับในฐานะคนดัง เอาเข้าจริงในช่วงเวลานั้นเพจพิมรี่พายก็ไม่ได้ต้องการสื่อสเกลใหญ่เข้ามาซัพพอร์ต ดังนั้นเมื่อใจบอกว่า ‘ยัง’ ก็คือ ‘ยัง’ และเลือกที่จะ ‘ปัง’ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่า ลองคิดดูว่าถ้าพิมรี่พายเลือกเลี้ยวผิดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น เธอก็คงไม่ต่างจากเน็ตไอดอล ‘เคยดัง’ คนอื่นๆ
ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง อย่านะคะ โดย พิมรี่พาย
แม่ค้า แม่พระ และมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
นอกจากความเป็นแม่ค้าปากกล้า และในระยะหลังก็คือแม่พระที่หลายคนชื่นชม แต่เหนือสิ่งอื่นใดพิมรี่พายคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าลองย้อนดูประวัติ เธอเข้าเรียนในอดีตโรงเรียนชายล้วนที่เพิ่งเปิดรับนักเรียนหญิงไม่นาน ในชั้นเรียนจึงมีนักเรียนหญิงแค่ 10 คน นักเรียนชาย 40 คน ถ้าจะกลมกลืนไปกับความระห่ำของเด็กผู้ชาย ก็ต้องมีบุคลิกห้าวๆ ปากคอเราะร้าย แต่เนื้อในเธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนไหวคนหนึ่ง เป็นแม่ค้าที่ด่ากราดแต่ก็พูดจาสุภาพกับลูกเสมอ และเป็นลูกสาวที่ผูกพันกับพ่อมากจนมีรอยสักรูปหน้าพ่ออยู่ที่แขน
หลายคนอาจจะชื่นชอบคลิปทำความดีให้เด็กดอย หรือล่าสุดกับคลิปติดตั้งไฟทางให้ชุมชนคลองเตย แต่ผู้เขียนกลับชอบคลิปร้องไห้หน้าหม้อชาบูเมื่อพูดถึงความรักครั้งเก่า มันสะท้อนความเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็น ‘น้องพิม’ ของพี่ๆ เป็น ‘เจ้พิม’ ของน้องๆ และอาจจะเป็น ‘อีพิม’ เพื่อนเราที่ต่อจะให้แกร่งแค่ไหนก็มีวันที่อ่อนแอ รอเราไปตบไหล่ให้มันลุกขึ้นมาด่าได้อีกครั้ง ตรงนี้คือความเรียบง่าย สัมผัสได้ ทำให้พิมรี่พายกลายเป็นคนที่เราคุ้นเคยทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอตัวจริงเลยก็ตาม
ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง อย่านะคะ โดย พิมรี่พาย
อย่านะคะ อย่านะคะ…อย่าหยุดสร้างเซอร์ไพรส์นะคะ
อีกส่วนที่ชอบเกี่ยวกับพิมรี่พายก็คือ คิดคอนเทนต์ที่คนอยากรู้เกี่ยวกับตัวเธอออกมาทีละนิด เลือกเกาให้ถูกที่คัน อย่างที่ได้เห็นในคลิปพิมรี่พายทำศัลยกรรมมาแล้วกี่ครั้ง หรือให้คนดูตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเธอแล้วมาตอบ พอคนเริ่มรู้จักก็หันไปทำคลิปแมสๆ ขายของแบบเนียนบ้าง ไม่เนียนบ้าง แต่ก็ไม่มีใครว่า ในเมื่อเจ้าตัววางโพสิชันว่าตัวเองเป็น ‘แม่ค้า’ อยู่แล้ว พอมีรายได้เพิ่มขึ้นก็พัฒนาลงทุนเรื่องโปรดักชันให้ดูสวยขึ้น มีระดับขึ้น ทั้งในคลิปหรือหน้าเพจ ถ้าลองย้อนกลับไปดูหน้าเพจเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับตอนนี้ก็จะรู้ว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหวทีเดียว
มาถึงเรื่อง Crisis Management (การจัดการวิกฤต) กันบ้าง อย่างที่ทราบกับดีว่าพิมรี่พายเคยโดนแฉว่าขายของปลอม ความจริงแล้วถ้าใช้ความดังวิ่งเข้าหาสื่อ ร้องไห้แล้วไหว้สวยๆ พิมรี่พายก็น่าจะทำได้ แต่ก็ไม่ทำ เธอเลือกออกมายอมรับ ซึ่งเป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่ได้ผล เพราะก็อย่างที่เล่าไปว่าเธอวางโพสิชันตัวเองให้เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีผิดมีพลาด คนที่เป็นมนุษย์ด้วยกันก็เลยให้อภัยได้
ภาพจากรายการ พิมรี่อาสา ใน YouTube
ระยะหลังๆ พิมรี่พายสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยคลิปไวรัลทำความดี แล้วก็อีกนั่นแหละ เธอใช้วิธีบ้านๆ แบบมนุษย์ทั่วไป แต่โดนใจคน เช่น การขึ้นรถพุ่มพวง (รถขายของชำตามหมู่บ้าน) ไปแจกของให้ผู้ขาดรายได้ช่วงล็อกดาวน์, ขึ้นดอยไปจัดงานวันเด็ก และซื้อแผงโซลาร์เซลล์ไปติดตั้งในหมู่บ้าน, ติดตั้งไฟทางเดินให้ชุมชนคลองเตย ฯลฯ แล้วก็เกิดดราม่าโยงการเมือง ถูกด่าว่าสร้างภาพบ้าง สะเหล่อบ้าง ทั้งที่ถ้าตัดอคติออกไป เธอก็เป็นแค่แม่ค้าที่มีเงินเหลือใช้แล้วอยากเอาไปช่วยเหลือคนอื่น จนเจ้าตัวต้องออกมาแถลงข่าวผ่านไลฟ์ว่าไม่ได้เป็นแม่พระหรือนางฟ้านางสวรรค์จากที่ไหน เพียงแต่อยากทำเพื่อสังคม ในเมื่อทำก็โดนด่า ไม่ทำก็โดนด่า ก็ขอเลือกทำดีกว่า
ภาพจากรายการ พิมรี่อาสา ใน YouTube
Rare Item ของสื่อ
ช่วงปลายปีที่แล้วพิมรี่พายปล่อยซิงเกิลเพลง อย่านะคะ ด้วยเนื้อหาที่สะท้อนตัวตนผ่านเพลงจังหวะสนุกๆ และท่อนแรปผสมคำสบถอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ทำยอดวิวทะลุหลักล้านไปในเวลาอันรวดเร็ว เล่ามาถึงตรงนี้พิมรี่พายยังไม่ได้ใช้สื่อกระแสหลักช่วยดันชื่อเสียงเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิมรี่พายประกาศตั้งค่ายเพลง High Cloud Entertainment ร่วมกับ กอล์ฟ F.HERO และและ หลุยส์-ธชา คงคาเขตร ครั้งนี้เองที่เจ้าตัวยอมสัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นครั้งแรก และเปิดตัวในฐานะคนบันเทิงเต็มตัว
ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง อย่านะคะ โดย พิมรี่พาย
ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง อย่านะคะ โดย พิมรี่พาย
ไม่ว่านี่จะเป็นสิ่งที่คิดมาแล้วหรือเป็นความบังเอิญ ผู้เขียนคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก อย่างแรกเลยคือพิมรี่พายกลายเป็น Rare Item ของสื่อ เพราะไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนมาก่อน แสงสปอตไลต์ย่อมส่องไปที่ตัวเธอเป็นธรรมดา อย่างที่สองคือ มันมาแบบถูกที่ถูกเวลา ในเมื่อทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ต้องการให้คนสนใจมากขึ้น ก็เลือกใช้พลังสื่อให้เข้าถึงมวลชนมากขึ้น แน่นอนว่ากลายเป็นข้อดีของการทำธุรกิจของเธอ
สรุปก็คือผู้เขียนชื่นชมพิมรี่พายที่รู้จักก้าวไปทีละสเตป และรู้จักวางโพสิชันของตัวเอง ที่สำคัญระหว่างทางต้องไม่ลืมตัวตนและสร้างภาพให้อยู่สูงเสียดฟ้า แต่เป็นมนุษย์คนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ เขียนมาถึงตรงนี้ก็ยังไม่มีคำว่า ‘พิมรี่พายเป็นคนดี’ เลยสักคำเดียว เพราะอยากให้เลือกชื่นชมในด้านที่เขาทำดี และด่าในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ทั้งที่ในใจก็กลัว เพราะเจ้าตัวเคยบอกไว้ในเพลงแล้วว่า ด่ากันไปก็ไม่แคร์นะคะ แต่กูด่ากลับนะ…อี…
ภาพ: ช่อง พิมรี่พาย ใน Youtube
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล