ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล แซงเอาชนะ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี คว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 14 มาครองได้สำเร็จ
ศึกฟุตบอลเอฟเอคัพรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ที่ไม่มีผู้ชมในสนามเริ่มต้นอย่างเร้าใจ เมื่อ เชลซี ซึ่งเคยพบกับ อาร์เซนอล ในนัดชิงเอฟเอคัพ 2 ครั้งและแพ้ทั้งหมด ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 6 จากจังหวะประสานงานในแนวรุกจาก เมสัน เมาท์ ต่อให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ สะกิดต่อให้ คริสเตียน พูลิซิช แตะหลบก่อนยิงผ่าน เอมิเลียโน มาร์ติเนซ เข้าไปง่ายๆ
แต่หลังจากเสียประตู อาร์เซนอลกลับมาตั้งเกมได้ และมาได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ได้หลุดเข้าเขตโทษ ก่อนโดน เซซาร์ อัซปิลิกวยตา เหนี่ยวจนล้มลงไป ผู้ตัดสินชี้ไปยังจุดโทษทันที ก่อนที่ดาวยิงชาวกาบองจะสังหารไม่พลาด ให้สกอร์กลับมาเสมอกัน 1-1 ในนาทีที่ 28
หลังจากนั้นเชลซีเจอข่าวร้ายอีก เมื่อ อัซปิลิกวยตา กัปตันทีมบาดเจ็บ ไม่สามารถเล่นต่อได้ ต้องเปลี่ยนตัวให้ อันเดรียส คริสเตนเซน ลงมาแทน โดยอาร์เซนอลเป็นฝ่ายที่คุมเกมดีกว่า แต่ยังยิงแซงไม่ได้ เกมจบครึ่งแรกด้วยการเสมอกันไปก่อน
กลับมาลงสนามใหม่ในครึ่งหลัง เชลซีได้โอกาสทันทีจากพูลิซิช ที่ได้กระชากมายิงถากเสาออกไป แต่สตาร์ทีมชาติสหรัฐฯ โชคร้าย กล้ามเนื้อกระตุกจากจังหวะนี้ ทำให้ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกไปอีกคน และให้ เปโดร โรดริเกซ จอมเก๋าลงมาแทน ซี่งเกมนี้จะเป็นเกมสุดท้ายของปีกชาวสเปนด้วย
แต่กลับเป็นกันเนอร์สที่ได้ประตูแซงนำในนาทีที่ 68 จากเกมสวนกลับเร็ว เฮกเตอร์ เบเยริน พาบอลขึ้นมาก่อน ลูกมาถึง นิโคลัส เปเป้ ไหลต่อให้โอบาเมยอง พาบอลหลบ เคิร์ต ซูมา ก่อนชิปนิ่มๆ ผ่าน วิลลี กาบาเยโร เข้าไป
ถัดมาเชลซียังเสียเปรียบหนักอีก เมื่อ มาเตโอ โควาซิช โดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดง ถูกไล่ออกจากสนาม ก่อนที่ แฟรงก์ แลมพาร์ด จะแก้เกมครั้งสุดท้าย ส่ง รอสส์ บาร์กลีย์, แทมมี อับราฮัม และ แคลลัม ฮัดสัน-โอดอย ลงมาพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ ขณะที่เปโดรยังมาบาดเจ็บหนักที่ไหล่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ต้องทดเวลานานถึง 13 นาที สุดท้ายอาร์เซนอลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-1 คว้าแชมป์เอฟเอคัพประจำฤดูกาล 2019-20 ไปครอง และได้สิทธิ์ในการไปเล่นฟุตบอลยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาลหน้า รวมถึงเป็นแชมป์รายการแรกของ มิเกล อาร์เตตา ด้วย
