วันนี้ (7 มีนาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลจะตัดงบประมาณให้กองทัพเรือในการจัดหาเรือฟริเกต จาก 2 ลำเหลือเพียง 1 ลำว่า เรื่องนี้ได้มีการรับหลักการ เพราะขณะนี้เรือที่มีอยู่ของกองทัพเรือมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ แต่การจะอนุมัติงบประมาณขึ้นอยู่กับการบริหารงบประมาณ เนื่องจากใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ต้องดูตามความจำเป็น
ภูมิธรรมระบุว่า ได้พูดคุยกับกองทัพเรือแล้ว และกำลังบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งสามารถดำเนินการนำเสนอได้ แต่จะได้งบประมาณเท่าไหร่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ยืนยันว่ากองทัพเรือไม่ได้น้อยใจ และได้พบกับ พล.ร.อ. จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือแล้ว
“จริงๆ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเงิน และสถานการณ์ปัจจุบันดี เราก็อาจจะให้ได้ ถ้ามันเป็นความต้องการ แต่ ณ ขณะนี้ถึงต้องการหรือไม่ต้องการ เราก็ต้องจำกัดเรื่องงบลงทุนทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกินกรอบวงเงินที่เรามีอยู่” ภูมิธรรมกล่าว
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา แค่เตรียมพร้อมรบตามวงรอบ
ภูมิธรรมให้สัมภาษณ์กรณีความไม่เรียบร้อยระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชาขณะนี้ว่า พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ให้ตนและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้มีการขยับขับเคลื่อนอะไร เป็นเพียงการเตรียมการสำหรับการปกป้องอธิปไตยของตัวเองตามปกติตามวงรอบ
แต่ก็ได้งดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายจนลามไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ อยากขอร้องทุกคน ไม่อยากให้มีการแสดงออกที่อาจทำให้เกิดปัญหา ทั้งฝั่งของกัมพูชาและฝั่งไทย รวมถึงกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง ประกาศที่จะไปทำกิจกรรมบนประสาทปราสาทตาเมือนธม ยืนยันว่าห้ามทำกิจกรรม มิเช่นนั้นไทยก็จะเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงเสียเอง
ทั้งนี้ อยากให้สื่อได้ช่วยกันอย่าเผยแพร่หรือแชร์คลิปที่บิดเบือน เพื่อให้สังคมได้มีสติ เพราะในปัจจุบันไทยและกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติ เรื่องไหนที่ยังไม่ชัดเจนก็อย่าหยิบพูดขึ้นมาให้เป็นประเด็น แต่จะกลายเป็นปัจจัยปะทุความขัดแย้ง มีอะไรก็ขอมาสอบถามกัน
คดีฮั้ว สว. ทำตามหน้าที่ ไม่ดึงการเมืองมาทำร้ายกัน
ภูมิธรรมกล่าวถึงการออกมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการทำหน้าที่คณะกรรมการประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กพค.) รับคดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นคดีพิเศษว่า ไม่ได้ตอบโต้ใคร เพียงแต่ตนทำหน้าที่ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองขัดแย้งกันเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ เกิดการกระทำและเกิดขบวนการที่สำเร็จ คือการกระทำก่อนที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เกี่ยวข้องกับคดีการฟอกเงิน และเป็นเรื่องของการร่วมมือกันทำผิดกฎหมาย
ส่วนคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เราคืนส่งไป ยืนยันว่ามีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ เพราะมีคนมาร้องเรียน หากเราไม่ทำก็โดนมาตรา 157 คือละเว้นหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติ เชื่อว่าจะไม่กระทบการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
