×

ภูมิ-วิภูริศ ศิริทิพย์ ‘Sunshine Boy’ ที่ร้องและแต่งเพลงจากไดอะรี ‘ความรัก’ ของตัวเอง

17.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • ก่อนที่เพลง Long Gone จะส่งให้ ภูมิ วิภูริศ โด่งดังในระดับอินเตอร์เนชันนัล เขาตั้งใจจะโฟกัสงานเพลงให้เห็นเพียงงานอดิเรก เพราะกลัวจะสูญเสียความสนุกในการเล่นดนตรี ขณะเดียวกันการเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตในหลายประเทศเวลานี้ ภูมิมองมันว่าเป็นประสบการณ์แบบ Work and Travel ซึ่ง ‘Work’ สำหรับเขานั้นตัวเล็กมาก ส่วนคำว่า ‘Travel’ นั้นตัวโตกว่ามาก
  • ภูมิเรียกภาพรวมอารมณ์ดนตรีของเขาว่า ‘Sunshine Music’ เพราะรู้สึกว่าปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืนนั้นบาลานซ์กับชีวิตของคน และถ้าจะเรียกจังหวะชีวิตของเขาในเวลานี้ว่า magic hours ก็คงไม่ผิดนัก เนื่องจากผลงานของเขากำลังโดนใจนักฟังเพลงจากหลายมุมโลก
  • หลากหลายบทเพลงในอัลบั้ม Manchild (2017) ของ ภูมิ วิภูริศ นั้นมีแรงบันดาลใจมาจาก ‘ความรัก’ ผ่านหญิงสาวที่เดินทางเข้ามาในชีวิตของเขา …ขณะเดียวกันการตัดสินใจนั่งรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว ซึ่งถือเป็นการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตนี่เอง ที่ทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นบทเพลง Lover Boy ที่กำลังโด่งดังอยู่ในเวลานี้

บ่ายคล้อยวันหนึ่ง ภูมิ-วิภูริศ ศิริทิพย์ เพิ่งกลับจากเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน หลังจากเพลง Long Gone ในอัลบั้ม Manchild (2017) ของเขาถูกส่งต่อกันอย่างกว้างขว้างทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก และจุดเปลี่ยนนี้เองที่ช่วยส่งให้นักดนตรีหนุ่มไทยวัย 22 โด่งดังไกลในระดับ World Wide ก่อนที่ Lover Boy ซิงเกิลต่อมาจะทำให้นักฟังเพลงไทยและสาวไทยกรี๊ดสลบอยู่ในเวลานี้

ภูมิ วิภูริศ เรียกอารมณ์เพลงของตัวเองว่า ‘Sunshine Music’ ซึ่งบอกเลยว่านอกจากกลิ่นอายดนตรี แต่เสียงร้อง รอยยิ้ม วิธีคิด และบุคลิกอุ่นๆ เวลาอยู่กับกีตาร์นั้น ทำให้เราคิดว่านักดนตรีหนุ่มคนนี้ช่างเหมาะสมกับนิยาม ‘Sunshine Boy’ อย่างที่สุด

 

 

เพลง Long Gone ที่ทำให้ชื่อของ ภูมิ วิภูริศ ได้รับความสนใจในระดับอินเตอร์เนชันนัล ส่วนในเมืองไทยตอนนี้คนก็เริ่มรู้จักคุณมากขึ้นจากซิงเกิล Lover Boy เชื่อว่ารอบหลายเดือนที่ผ่านมาน่าจะเป็น magic moment ในชีวิตคุณเลยนะ

ใช่ครับ จริงๆ ภูมิตั้งโกลตลอดชีวิตมหาวิทยาลัยเอาไว้ว่า พอเรียนจบเราอยากจะมี gap year ที่รับปริญญาแล้วยังไม่ทำงานเลย แต่ภูมิโชคดีที่เราได้ทำงานในลักษณะ Work and Travel คือเล่นดนตรีอยู่นอกประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้ท่องเที่ยว เจอผู้คน เจอวัฒนธรรมใหม่ๆ ซึ่งภูมิไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ทำอะไรแบบนี้

 

จริงๆ แล้วภูมิไม่อยากเรียกมันว่า Work and Travel ด้วยซ้ำไป เพราะการออกไปร้องเพลง เล่นดนตรี ภูมิไม่อยากเรียกมันว่าอาชีพเลย ฉะนั้นเรียกมันว่าเป็น Travel เฉยๆ เลยก็ได้ เพราะมันคือการท่องเที่ยวที่ได้จะได้ออกไปเล่นดนตรีและร้องเพลงให้กับคนที่ไม่เคยเจอเรามาก่อนฟัง เราได้พูดคุยกับผู้คนใหม่ๆ ได้กินอาหารรสชาติใหม่ๆ มันมีโมเมนต์ที่ดีเกิดขึ้นเยอะมาก

 

ลองเล่าถึงประสบการณ์ Work and Travel ครั้งล่าสุดให้ฟังหน่อยครับว่าไปเจออะไรมาบ้าง

ภูมิเพิ่งกลับจากเล่นทัวร์เอเชียครั้งแรกในชีวิตมาครับ ภูมิไปเล่นที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อีก 2 โชว์ที่โซล ประเทศเกาหลี และไปจบทัวร์ที่ไต้หวันอีก 2 โชว์ครับ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เพราะภูมิเองยังไม่เคยทัวร์ที่ไหนมาก่อน ไม่เคยทัวร์ในประเทศตัวเอง ไม่เคยทัวร์ที่นิวซีแลนด์ เป็นประเทศที่ภูมิโตมา แล้วอยู่ดีๆ ก็มีโอกาสให้เราได้ออกไปเจอประสบการณ์อะไรแบบนี้

 

ล่าสุดภูมิเพิ่งกลับไปเกาหลีอีกรอบหนึ่ง เราเล่นดนตรีในงานที่ชื่อว่า DMZ Peace Train Music Festival ซึ่งเขาจัดอยู่ตรงเกือบถึงชายแดนเกาหลีเหนือ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองสันติภาพระหว่างชนชาติเกาหลีทั้งสองฝั่ง ภูมิเองไม่คิดว่าจะได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน อย่างที่บอกว่ามันเป็นโมเมนต์ที่ดีมากๆ สำหรับภูมิ  

 

 

 

อยากรู้ว่าระหว่างเดินทาง คุณคิดอะไรอยู่บ้าง

แฮปปี้มากครับ ตลอดเวลาที่เดินทางภูมิค่อนข้าง… ตัวลอย (ยิ้ม) มันมีความเซอร์เรียลสูงมาก เพราะตอนเด็กๆ เราฝันมาตลอด อีกอย่างเรารู้ตัวว่าเราจะทำดนตรีภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เพราะเราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ก็เลยคิดว่าโอกาสที่จะเล่นดนตรีในประเทศไทยซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ฟังภาษาไทยอาจจะยังน้อยอยู่

 

ความจริงแล้วมันอาจจะเป็น the only way เลยก็ได้ที่เราจะได้ออกไปเล่นทัวร์ เพราะเราก็ต้องไปในประเทศที่เขาฟังดนตรีสากล ฉะนั้นตลอดเวลาที่เดินทาง ภูมิก็คิดเลยว่ากำลังได้ทำสิ่งที่เราเคยฝันและโหยหามาตลอด

 

บรรยากาศแฟนเพลงคนไทยล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ

ตอนนี้อบอุ่นขึ้นเยอะครับ มันก็ตลกดีเหมือนกันที่เราต้องไปอ้อมโลกมาก่อนจะค่อยๆ เป็นที่รู้จักในเมืองไทย แต่ว่าก็อบอุ่นมาก ดีใจที่คนไทยฟังดนตรีสากลมากขึ้น เขาเห็นว่าเราเป็นคนไทยนะ เพียงแต่เราทำดนตรีในแบบที่คนทั่วโลกฟังได้

 

รู้สึกแปลกไหมที่ประสบการณ์ Work and Travel ของเราเกิดขึ้นครั้งแรกที่นอกประเทศ ไม่ใช่ในประเทศไทย

สำหรับตัวภูมิเอง ภูมิไม่เคยคิดว่าเพลงนี้ภูมิจะทำให้คนไทยนะ เพลงนี้ภูมิทำให้คนเกาหลี เพลงนี้ภูมิทำให้คนอเมริกา เราไม่ได้ approach ดนตรีของตัวเองในแบบนั้น จริงๆ เราแค่ทำดนตรีออกไป ส่วนใครจะฟังเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้

 

ภูมิรู้สึกโชคดีที่ผลงานไปได้กลุ่มคนฟังเป็นคนนอกประเทศมากกว่าคนไทย ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ ถ้ากลุ่มคนฟังของเราเป็นแบบนั้น เราคงต้องไปเล่นให้เขาดูที่นอกประเทศ เพราะเขาคงจะไม่บินมาตามดูเราที่เมืองไทย

 

 

คุณเป็นศิลปินประเภทที่อยากร้องเพลงที่ตัวเองแต่ง เราอยากเป็น Songwriter ถ้าอย่างนั้นโมเมนต์ของการขึ้นไปโชว์บนเวที กับตอนแต่งเพลงอยู่คนเดียว ความรู้สึกสองอย่างนี้มันต่างกันไหม คุณฟีลกู้ดกับโมเมนต์แบบไหนมากกว่ากัน  

ภูมิว่าเวลาเราเขียนเพลงในห้องหรือว่าแต่งเพลง เราไม่รู้หรอกว่าเวลาขึ้นไปโชว์จริงๆ คนฟังเขาจะฟีดแบ็กอย่างไร ตอนแต่งเราก็แค่ใช้สัญชาตญาณตอนนั้นว่าเราฟีลกู้ดกับมันไหม แค่ใช่แล้วเราก็จะรู้สึกอิ่ม ส่วนเวลาเราเอาเพลงที่แต่งไปเล่นให้คนฟังแล้วเขาโต้ตอบกลับมา ไม่ว่าจะร้องตามหรือว่าเต้น… มันเป็นฟีลลิ่งที่ดีมากๆ สำหรับภูมิ เรียกได้ว่าเราเสพฟีลลิ่งอย่างนั้นเลย คือแม้ว่าเราจะทำเพลงจากฟีลลิ่งของตัวเอง แต่พอเราได้ออกไปแชร์โมเมนต์นั้นแล้วคนฟังฟีลกู้ดไปกับเรา มันรู้สึกเลยทันทีว่าดนตรีควรจะทำหน้าที่อย่างนี้จริงๆ  

 

ตอนเริ่มต้นทำอัลบั้ม Manchild เมื่อ 4 ปีก่อน คงไม่คาดคิดว่างานของเรา จะกลายเป็นผลงานที่มีคนฟังชื่นชอบในระดับ World Wide ขนาดนี้

มันเป็นความฝันไกลๆ ครับผม ผมเองก็ไม่ได้นึกว่าจะได้มาเป็นศิลปินตั้งแต่อายุค่อนข้างน้อย แถมยังได้มีส่วนร่วมกับทุกขั้นตอน เราดีใจ เพราะมันเป็น personal goal ที่เราทำได้สำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง แล้วยิ่งดีใจขึ้นไปอีกที่ผลตอบรับของมันค่อนข้างดี ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ ในชีวิต

 

จริงๆ แล้วเพลงในอัลบั้ม Manchild มันเป็นเพลงที่ภูมิแต่งมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่นิวซีแลนด์ มันเป็นเรื่องราวตลอด 4 ปีว่าเราเจออะไรมาบ้าง พูดตรงๆ คือมันเป็นอัลบั้มที่ค่อนข้าง personal เราเจอปุ๊บเราก็หยิบเอามาเขียน เป็นการทำงานที่ไม่ค่อย effective เท่าไร เพราะใช้เวลานานเหลือเกิน (หัวเราะ) แต่ข้อดีคือเราได้ใช้เวลากับมัน ค่อยๆ เล่าเรื่องที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ

 

อีกเรื่องที่ผมคิดคือ วันข้างหน้าเมื่อเราได้ย้อนกลับมาคิดถึงว่าตอนเริ่มต้นเป็นนักดนตรีใหม่ๆ เรามีแอตติจูดเป็นอย่างไร หรือการทำงานเป็นแบบไหน เรื่องราวอะไรบ้างที่กระทบต่อความคิด ความรู้สึกของเรา ฯลฯ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นโมเมนต์ที่ดี

 

 

 

ผ่านมาแล้ว 4 ปีแล้ว ตอนนี้แอตติจูดของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม ถ้าเปลี่ยน เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ในแง่ที่เราแต่งเพลงจาก perspective และฟีลลิ่งของตัวเอง ตรงนี้ไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือภูมิรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเยอะ เมื่อก่อนผมเป็นเด็กวัยรุ่นใจร้อน อยากมองหาทางลัดให้กับทุกๆ อย่าง แต่พอโตขึ้น เราเริ่มเข้าใจว่าถ้าอยากให้งานคราฟต์ออกมาดีๆ เราต้องใส่ใจกับทุกรายละเอียด เราต้อง take time และ take care กับมันมากๆ

 

อีกอย่างเราเข้าใจมากขึ้นด้วยว่าทำไมเราอยากเล่นดนตรี เมื่อก่อนตอนเล่นดนตรีใหม่ๆ เราจะคิดว่าอยากมีชื่อเสียง อยากไปเล่นเทศกาลดนตรีโน้น เทศกาลดนตรีนี้ เพราะมันดูคูล แต่พอโตขึ้นถึงเริ่มเข้าใจว่าความคิดตอนยังไม่บรรลุนิติภาวะมันไร้สาระมากๆ

 

ตอนนี้ผมรู้สึกว่าการที่เรามีผลงานที่เป็นของเราจริงๆ หรือมีคอนเทนต์ที่เป็นของเราจริงๆ ภายใต้ชื่อ ‘ภูมิ วิภูริศ’ มันสำคัญ และมันมหัศจรรย์แค่ไหน ทุกวันนี้เราเลยเอ็นจอยกับการเล่นดนตรีมากขึ้น และเป็นคนใจเย็นมากขึ้นด้วยนะฮะ

 

มองข้ามผ่านคำว่า ‘ทำเพลงเพื่อให้ดัง’ ไปได้แล้ว

ใช่ครับ ความจริงเพลงท้ายๆ ที่ทำช่วงอัลบั้มใกล้จะเสร็จ เราค่อนข้าง carefree มากแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าทำไมจะต้องไปเครียดว่าเพลงนี้คนจะฟังไหม พอทำเพลงด้วยความคิดแบบนี้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันไม่ใช่งานสร้างสรรค์ เพราะมัวแต่ไปกังวลว่าคนจะชอบแบบนี้หรือเปล่า จนเราลืมตัวเองว่า เอ๊ะ แล้วเราล่ะชอบเพลงแบบไหน

 

เพลงที่มันทำให้ชีวิตภูมิเปลี่ยนเลยก็คือ Long Gone ซึ่งภูมิทำมันขึ้นมาตอนช่วงนี้ของปีที่แล้ว (มิถุนายน) ภูมิแต่งเอง กำกับมิวสิกวิดีโอเอง เราไปถ่ายกันที่ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ถ่ายกันทั้งวัน ทั้งกองมีอยู่ 4 คน หลังจากนั้นภูมิใช้เวลาตัดต่อประมาณ 2 เดือน พอทำเสร็จ เราปล่อยออกไปโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย แต่มันกลับเป็นเพลงที่เปิดประตูพาเราเข้าไปสู่กลุ่มคนฟังเพลงนอกประเทศ ซึ่งทำให้เราเข้าใจเลยว่าวงการดนตรีมันคาดเดาอะไรไม่ได้ เราแค่ต้องเอ็นจอยกับมัน สนุกไปกับมัน แล้วถ้าจังหวะมันใช่ เวลามันใช่ เซอร์ไพรส์มันจะมาเอง  

 

 

 

ระหว่างเดินทางไปเล่นดนตรีที่โน่นที่นี่ เคยลองมานั่งคิดวิเคราะห์ไหมว่าทำไม Long Gone ถึงได้อิมแพ็กกับคนฟังในระดับอินเตอร์เนชันนัลขนาดนี้

ภูมิเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือจุดอะไรของเพลงนี้ที่ทำให้คนเอ็นจอยกับมัน แต่ภูมิคิดว่าเป็นเพราะทุกขั้นตอนในการทำเพลงนี้มันมีความ carefree สูง มันไม่ใช่ว่าเราชุ่ยนะครับ (หัวเราะ) เพียงแต่เราไม่ได้ไปกดดันตัวเองว่าผลของมันจะออกมาเป็นอย่างไร

 

พอมีไอเดีย เราทำมันโดยใช้สัญชาตญาณ และมีความ spontaneous สูงมากๆ ซึ่งคนฟังน่าจะรู้สึกได้

 

ทุกวันนี้เวลาไปเล่นต่างประเทศ Long Gone จะเป็นเพลงที่ภูมิเอาไว้เล่นจบเซตของทุกโชว์ แล้วเวลาภูมิบอกกับคนที่เข้ามาดูโชว์ว่า รู้ไหมว่าไอกำลังจะเล่นเพลงอะไร แล้วทุกคนก็จะตะโกนขึ้นมาว่า Long Gone! สำหรับภูมิมันเป็นฟีลลิ่งที่ดีมากๆ ครับ

 

หลังจากนั้น Lover Boy ก็ต่อยอดความสำเร็จจากเพลงแรก…

หลายคนชอบคิดว่า Lover Boy นี่แหละคือตัวภูมิ (หัวเราะ) แต่ถ้าคนเคยเห็นภูมิในชีวิตจริงเขาจะรู้ว่าภูมิไม่ใช่คนที่จะไปเดินล่าสาว (หัวเราะ) คือมันเป็นเพลงที่เราต้องการจะแฟนตาซี โดยการมองตัวเองว่าถ้าเราเป็นหนุ่มคาสโนวา เราจะเป็นแบบไหน

 

…ความจริงแบ็กกราวด์ของเพลงนี้มันคือช่วงที่ผมซื้อตั๋วรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว แล้วเรื่องราวระหว่างทางมันคล้ายๆ ว่าเราไปเจอแฟนตาซีความรัก หลังจากที่เพิ่งผ่านอะไรที่ไม่ค่อยดีมาก่อน เราก็เลยอยากจะออกเดินทางไปค้นหาตัวเองอีกครั้ง ออกไปผจญภัยแบบหนุ่มโสด แต่ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนะครับ (หัวเราะ) เราแค่ไม่เคยเดินทางไปเที่ยวคนเดียว ซึ่งการออกเดินทางครั้งนั้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี หลายคนบอกว่าฟัง Lover Boy แล้วรู้สึกว่าภูมิโตขึ้นทั้งทางด้านดนตรีและด้านแอตติจูด พอผ่านจุดนั้นไปแล้วมันเหมือนเป็น coming of age ที่เรากล้าออกไปเผชิญหน้า กล้าจะออกไปลองผิดลองถูกมากขึ้น

 

 

ชอบที่คุณใช้คำว่า Sunshine Music เป็นภาพรวมงานดนตรี ตอนเจอคำนี้คุณนึกถึงอะไรอยู่ คุณเห็นภาพแบบไหน อารมณ์แบบไหน

มันคืออารมณ์ คือฟีลลิ่งที่ภูมิเรียกมันว่า Sunshine ภูมิรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว Sunshine มันตีความได้หลายแนว บางช่วงเวลามันอาจจะไม่ได้เป็น Sunshine พระอาทิตย์ตกดิน มันก็ต้องมี Moonlight

 

Sunshine มันคือแสงของพระอาทิตย์ ที่เราต้องเห็นมันทุกวัน มันมี cycle ของมันที่ขึ้นมาปุ๊บ มันอยู่กับเรา 12 ชั่วโมงแล้วมันก็ลงไปแอบอีก 12 ชั่วโมง ซึ่งมันบาลานซ์กับชีวิตของคน บางวันเรามีโมเมนต์ที่แฮปปี้มากๆ ผ่านไปอีกวันเราอาจจะมีโมเมนต์ที่เหมือนมีเมฆมาบัง บางช่วงอาจจะมีฝนปรอยๆ บางช่วงเป็น magic hours ที่เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำทะเล มันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ แล้วสักพักมันก็หายไป อ้าว มีแสงของพระจันทร์มาแทน

 

ภูมิอยากจะเล่นกับคอนเซปต์นี้ เพราะรู้สึกว่าเพลงที่เราแต่งไปมัน Sunshine มาก สำหรับตัวภูมิเอง (หัวเราะ) เลยคิดว่ามันน่าสนใจดีถ้าเราจะ continue คอนเซปต์นี้ไปเรื่อยๆ

 

ถ้าอย่างนั้น Long Gone นี่อยู่ในช่วงเวลาไหนของ Sunshine Music

ภูมิคิดถึงช่วงเวลา ‘บ่ายสอง’ ที่แดดแรงมากๆ เพราะตอนนั้นเราไปถ่าย MV ตอนบ่ายสองแล้วแดดแรงพอดี (หัวเราะ)  

 

Lover Boy ล่ะ

Lover Boy น่าจะเป็น Sunset เป็นช่วง magic hour หลังจาก 4 โมงครึ่งไปจนถึง 6.45 น. เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เป็นอะไรที่เซ็กซี่ๆ หน่อย

 

 

พอคุยกันเรื่อง Sunshine Music อย่างหนึ่งที่รู้สึกเวลาคุยกันคือ คุณมีพลังงานด้านโพสิทีฟอยู่ในตัวเองเยอะมาก เคยเศร้าหรือมีด้านดาร์กๆ ในตัวเองให้รู้จักเพิ่มขึ้นบ้างไหม

ภูมิเป็นคนโชคดีครับ คือเวลาภูมิเศร้าหรือดาร์กมากๆ เลเวลที่เราลงไปต่ำก็เท่ากับคนทุกคน อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป เพียงแต่เราเป็นคนฉุดตัวเองขึ้นมาได้ค่อนข้างเร็ว ด้วยการออกไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน ออกไปเล่นสเกตบอร์ดที่มหาวิทยาลัย หรือดูหนังที่เราชอบ แล้วผ่านไปสักพักเราจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น

 

รู้มาว่าที่ผ่านมาคุณนำประสบการณ์ความรักของตัวเองมาใช้เขียนเพลงค่อนข้างเยอะ ช่วงที่คุณแฮปปี้กับความรัก เพลงของคุณก็จะเป็นเพลงเร็วๆ เพลงแฮปปี้ แต่พอความรักมีปัญหา เพลงที่แต่งก็เป็นเพลงช้า ตรงนี้มันบอกอะไรได้บ้างว่าที่ผ่านมาคุณเป็นคนรักแบบไหน เป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในเรื่องผู้หญิงไหม และความรักครั้งล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง

(หัวเราะ) ใช่ครับ อย่างกับแฟนคนแรกที่คบกันนานที่สุดในชีวิต โมเมนต์ระหว่างเรามันจะมีช่วงที่แฮปปี้มากๆ และมีช่วงที่ honeymoon period มันผ่านไปแล้ว ซึ่งมันเป็นช่วงที่เราเริ่มมีหลายๆ โมเมนต์ที่เรา doubt มากๆ ซึ่งจริงๆ แล้วภูมิกลับชอบโมเมนต์แบบนั้นนะ คือถ้าเป็นบทเพลง มันก็ไม่ใช่เพลงรักที่แฮปปี้ไปหมด แต่มันเป็นเพลงรักที่มีความ bitter sweet มีความกัดกันนิดหนึ่ง

 

หลังจากนั้นพอเราเลิกกัน เพลงที่ภูมิแต่งมันก็จะเศร้าขึ้นนิดหนึ่ง ภูมิว่ามันเหมือนกราฟที่มีขึ้นมีลง และสุดท้ายเราจะกลับมา stable พอกลับมาได้ เราเข้าใจแล้วว่าจริงๆ ความรักมันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ เราไม่จำเป็นต้องรักเขา โดยคิดว่าเขาจะต้องเป็นของเรา แต่แค่ได้รักเขาโดยไม่มีเงื่อนไข เขาจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ เขาจะรักกับใคร เขาอาจจะแต่งงานกับใครไปแล้วก็ได้ แต่สำหรับเรา เราแค่ดีใจว่าเรายังรักเขาเท่าเดิม ถึงแม้ฟอร์แมตจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม ส่วนความรักตอนนี้ก็แฮปปี้ดีทุกอย่างนะครับ (หัวเราะ)

 

ผู้หญิงที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตและเพลงของคุณได้นี่ต้องเป็นคนแบบไหนครับ

ภูมิว่าต้องเป็นคนที่เรารักมากๆ (หัวเราะ) มันไม่ใช่ว่าเราจะแต่งเพลงแบบนี้ขึ้นจากใครก็ได้ แต่มันต้องเป็นคนที่เรารู้สึกผูกพันกับเขาจริงๆ หรือรู้สึก deeply กับเขามากจริงๆ ภูมิมองว่าผลงานมันสะท้อนตัวภูมิเอง ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้สึกกับมันจริงๆ ภูมิเชื่อว่าคนฟังจะมองออกว่านี่คือสิ่งที่เราแค่สร้างมันขึ้นมา

 

 

คิดว่าผู้หญิงทุกคนที่คุณบันทึกเป็นไดอะรีผ่านเนื้อเพลงในอัลบั้มแรกจะรู้ไหมครับว่าเพลงไหนคือช่วงชีวิตระหว่างคุณกับเขา

คิดว่าถึงตอนนี้เขาคงรู้แหละครับว่ามันเกี่ยวกับเขา แต่เพลงที่เราแต่งมันก็ไม่ได้เป็นเพลงที่ negative หรืออะไร ส่วนใหญ่แล้วถึงแม้ว่าเราจะ broken heart แต่มันก็ยังมีความ appreciation ในตัวมันเอง

 

ผมรู้สึกว่าอัลบั้มชุดแรกมันเป็นไดอะรีของเด็กวัยรุ่นที่กำลังโตไงครับ มันเลยรู้สึกว่ามันมีความดิบมาก เพลงหนึ่งกำลังแฮปปี้ อีกเพลงหนึ่งเศร้า สรุปแล้วยูเป็นยังไง คือทั้งหมดนั้นคือมันเรียลมากๆ อย่างทุกวันนี้เวลาเราร้องเพลงเล่นสด เรายังจำได้อยู่เลยว่าตอนแต่ง เราแต่งให้ใคร เรามีคอนเน็กชันกับทุกเพลงจริงๆ

 

สรุปแล้วนักร้องหนุ่ม ภูมิ วิภูริศ เป็นผู้ชายประเภทที่ประสบความสำเร็จในความรักไหม…

ภูมิเหรอครับ (หัวเราะ) ภูมิว่าไม่นะ ตรงข้ามมากเลยครับ ผมว่าผมมีประสบการณ์พอสมควรในเรื่องความรัก แต่ไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้หรือไม่ได้เป็นคนแบบ… มีสาวมาสนใจ แต่ภูมิเป็นคนประเภทที่เวลารักใครจริง คือเรา spend time กับเขา

 

‘ความรัก’ มีผลต่องานเพลงในอัลบั้มแรกมากๆ แล้วอัลบั้มชุดที่ 2 ล่ะ จะออกมาเป็นอย่างไร ความรักจะมีผลแค่ไหน ยังจะคงคอนเซปต์ไดอะรีชีวิตส่วนตัวไว้อยู่ไหม

ถ้าเปรียบเทียบเป็นคอนเซปต์ ภูมิมองว่าอัลบั้มแรกเป็นไดอะรีที่เราไม่กล้าให้ใครเข้ามาอ่าน ส่วนกับอัลบั้มชุดใหม่มันยังคงเป็นไดอะรีอยู่ แต่มันเหมือน open book มากกว่า เหมือนเราตั้งใจว่าอยากจะท่องเที่ยว ตั้งใจว่าอยากจะเจอคนมากขึ้น นี่คือ core feeling สำหรับอัลบั้มชุดนี้ …ภูมิอยากจะตัวเล็กลง อยากมองโลกให้ใหญ่มากขึ้น เพราะรู้สึกว่าการอยู่กับตัวเองมากเกินไปมัน toxic มัน sick กับตัวเองมาก

 

ถ้าเรียกอัลบั้มแรกว่าเล่าจาก inside out อัลบั้มใหม่ภูมิอยากจะเล่าจาก outside in มากกว่า เราอยากได้ฟีลลิ่งอย่างนั้น เราอยากเปิดหูเปิดตามากขึ้น อยากออกไปฟังเรื่องเล่าของคนอื่นแล้วเก็บเอามาตีความว่าสำหรับตัวเองมันหมายความว่ายังไง เราอยากให้ตัวเองตัวเล็กลง ยิ่งเล็กยิ่งดี พอรู้สึกอย่างนั้นปุ๊บ เหมือนทุกอย่างมันสวยงามมากขึ้นเยอะ แล้วภูมิว่าในชุดที่ 2 ก็ยังคงมีธีมความรักเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพราะภูมิมองว่าความรักมันเป็นฟีลลิ่งที่มนุษย์ทุกคนพร้อมจะวิ่งเข้าไปหาตลอด เพราะภูมิเองก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน  

 

 

FYI
  • ภูมิ วิภูริศ บอกว่า ในความเป็นคนยิ้มเยอะ แต่ความจริงแล้วก็เป็นคนมีความเครียดสูง ภูมิค้นพบว่าตัวเองเป็นมนุษย์ประเภท Perfectionist ตั้งแต่ช่วงเรียน ม.ปลาย เพราะชอบแข่งขันกับตัวเอง “เวลาทำอะไรเรารู้สึกว่ามันต้องดีถึงระดับที่เราพึงพอใจกับมันได้ เวลาทำงานหรือตั้งใจจะทำอะไร เราจะโฟกัสกับมันมาก โชคดีที่มันจะเครียดเป็นช่วงๆ แล้วพอหลุดจากตรงนั้นมาได้ ภูมิก็จะกลับมาเป็นอย่างนี้ (ฉีกยิ้ม)”
  • ต้นเดือนตุลาคมนี้ ภูมิ วิภูริศ กำลังจะออกเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหม่ใน 9  ประเทศทั่วยุโรป เริ่มต้นจากโปแลนด์, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม ก่อนจะปิดท้ายทัวร์ที่ 4 เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising