‘พัฒนา พร้อมพัฒน์’ วัย 40 ปี บุตรชายของ ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อครั้งแรกช่วงปลายเดือนมีนาคม เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาคาร SKYY9 ที่สำนักงานประกันสังคมซื้อมาในราคา 7,000 ล้านบาท
เพียง 6 เดือนต่อมา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข’ ในรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ เขาถูกจับตามองตั้งแต่วันแรก ไม่เพียงเพราะเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้มาจากสายสาธารณสุขโดยตรง แต่เป็นเพราะเขามาจากตระกูลการเมืองรุ่นใหญ่ที่อยู่คู่สมรภูมิอำนาจไทยมายาวนาน
แม้หลายคนอาจยังไม่รู้จัก ‘พัฒนา’ ในมิติส่วนตัว แต่ก่อนจะมาถึงจุดที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายด้านสุขภาพของคนทั้งประเทศ เขามีเส้นทางชีวิต ประสบการณ์ธุรกิจ และแรงผลักดันส่วนตัวอย่างไร จุดเปลี่ยนใดทำให้ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัวในเวลานี้ และมองเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า ‘ได้ตำแหน่ง เพราะพ่อรับตำแหน่งไม่ได้’ อย่างไร
‘พัฒนา’ เปิดห้องทำงานชั้น 4 สำนักสำนักงานรัฐมนตรี ที่กระทรวงสาธารณสุข ต้อนรับทีมข่าว THE STANDARD เปิดใจตอบทุกคำถาม-ทุกมุมมอง ตั้งแต่ตัวตนที่คนอาจไม่เคยรู้ การเติบโตในครอบครัวนักการเมือง ความท้าทายในการรับตำแหน่งครั้งนี้ ไปจนถึงวิธีที่เขาจะพิสูจน์ตัวเองบนเส้นทางการเมืองที่อยากให้ประชาชนจดจำ

พัฒนานั่งบนโซฟ้าสีน้ำตาล
กลางห้องทำงานชั้น 4 ภายในกระทรวงสาธารณสุข
เริ่มต้นเปิดใจเล่าชีวิตของตนเอง
รู้จัก ‘พัฒนา’ ทายาทสันติ พร้อมพัฒน์
เวลา 17.00 น. ของวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน หลังจากพัฒนาเสร็จสิ้นภารกิจงานกระทรวงสาธารณสุข เขาในวัย 40 ปี นั่งบนโซฟาสีน้ำตาลกลางห้องทำงานชั้น 4 ภายในสำนักสำนักงานรัฐมนตรี ที่กระทรวงสาธารณสุข เริ่มเล่าชีวิตของตนเองให้ THE STANDARD ฟังว่า ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมือง เขาทำธุรกิจของครอบครัว ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโลกที่เขาเคยวนเวียนอยู่มาตลอด
แต่ขณะเดียวกันครอบครัวก็อยู่ในวงการการเมือง คุณพ่อ (สันติ พร้อมพัฒน์) เคยเป็นรัฐมนตรีหลายสมัย ส่วนคุณแม่ (วันเพ็ญ พร้อมพัฒน์) ก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย ชีวิตเลยอยู่วนเวียนอยู่กับการเมืองมาตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังว่าจะต้องเข้ามาเป็นนักการเมืองเอง มีความรู้สึกว่า ก็อาจเป็นไปได้ แต่ไม่ได้คิดว่าจะกระโดดเข้ามาเร็วขนาดนี้
พัฒนานิยามตัวเองว่า ‘เป็นนักปฏิบัติ’ เวลาทำงานก็จะพยายามคิดให้รอบด้าน คิดให้ครบ แล้วค่อยลงมือทำ บางครั้งแม้คิดครบแล้ว พอลงมือทำก็อาจพบความเสี่ยงบางอย่างอยู่ ก็ต้องเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงเหล่านั้น เหมือนกับการ ‘ผจญภัย’ กับความเสี่ยง
“สมัยก่อนตอนทำธุรกิจ เราเจอกับความเสี่ยงทางธุรกิจอยู่แล้ว ต้องบริหารจัดการเป็นเรื่องปกติ แต่พอมาทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดูแลทั้งงบประมาณ และดูแลสุขภาพของประชาชน มีชีวิตของคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็ต้องมองให้กว้างขึ้น ไม่ใช่มองแค่มุมเศรษฐกิจ แต่ต้องมองเรื่องคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ จริยธรรม และความรู้สึกของคนที่ได้รับผลกระทบด้วย”

สันติ พร้อมพัฒน์ และพัฒนา พร้อมพัฒน์
สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยตลอดชีพ
โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล ให้การต้อนรับด้วยตัวเอง
พัฒนาเล่าว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เข้ามารับตำแหน่งในครั้งนี้ เป็นเพราะสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ที่พัดพาเข้ามาให้เขามาเป็น ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และการเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ถือเป็นครั้งแรก
“เข้าใจว่าประชาชนหลายคน อาจมีคำถาม แต่เมื่อได้เข้ามาทำหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ผมตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ โชคดีที่ได้มาทำงานกับบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีแต่คนเก่งๆ โดยเฉพาะคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้บรรยากาศการทำงานสนุกดีครับ”
พัฒนายอมรับว่า งานการเมืองนั้นทั้งพ่อและแม่ของเขา มีอิทธิพลทางความคิดกับตนเอง โดยเฉพาะพ่อ ท่านอาจมองว่าเราทำงานในตำแหน่งนี้ได้ เมื่อมีโอกาส ก็เข้ามาทำ
“ท่านไม่ได้พูดตรงๆ ว่า ต้องเข้ามาทำ พูดเพียงว่า ส่งประวัติไปตรวจ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะได้เข้ามา ไม่มีโมเม้นท์ตกใจ เพราะว่าคิดว่าคุณพ่อคงเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเหมือนเดิม ส่วนตัวผมเองก็ตั้งใจว่า จะเข้ามาช่วยงานทางการเมืองก็ร่วมรับผิดชอบบริหารบ้านเมืองบ้าง คิดว่าจะเข้ามาทำงานภาคการเมืองให้มากขึ้น ในระดับคณะที่ปรึกษาหรือคณะทำงานยังไม่ได้คิดถึงการมารับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้” พัฒนาเล่า

พัฒนา (บนซ้าย) ร่วมถ่ายภาพคณะรัฐมนตรี (อนุทิน ชาญวีรกูล)
ที่บริเวณด้านหน้าสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
พัฒนาอธิบายเพิ่มว่า เป็นบรรยากาศและสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมพาไป จนได้มาอยู่ตรงนี้ และตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเราก็ต้องมั่นใจ เพราะภาระหน้าที่ตรงหน้านี้ เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ การตัดสินใจของเราจะกระทบกับประชาชนจำนวนมาก รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ทุกที่มีปัญหา
ตอนแรกแอบคิดว่า บุคลากรในกระทรวงจะเชื่อมั่นในตัวเราหรือไม่ แต่หลังจากได้ทำงานร่วมกันมา 4-5 สัปดาห์ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขเป็นหนึ่งเดียวกัน และสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้
ได้ตำแหน่งเพราะพ่อ
“ตั้งแต่ที่มีชื่ออยู่ในโผ ครม. ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะพ่อไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อได้ ท่านตอบข้อสงสัยต่อประชาชนนี้อย่างไร” THE STANDARD ถาม
พัฒนาตอบว่า ถ้าจะบอกอะไรกับประชาชน ผมคิดว่ามี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ผมอาสาเข้ามาทำงานนี้เอง เรื่องที่ 2 ผมขอขอบคุณทั้งท่านนายกรัฐมนตรี และคุณพ่อที่มอบความไว้วางใจให้ผมเข้ามาทำงาน
แน่นอนว่า ทั้งคุณพ่อ และท่านนายกฯ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ซึ่งความไว้วางใจนั้นก็ถูกส่งต่อมาที่ผม ผ่านการตัดสินใจของท่านในการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีโอกาสทำงาน นั่นคือ สิ่งที่ผมอยากจะสื่อสารออกไป
“ผมรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ และความไว้วางใจที่ท่านมอบให้ หน้าที่ของผมตอนนี้มีเพียงก้มหน้า ก้มตาทำงานเต็มที่ ส่วนประชาชนจะตัดสินใจว่าเราจะได้รับความไว้วางใจต่อไปหรือไม่ หรือต้องพิสูจน์ตัวเองว่าพร้อมบริหารประเทศต่อ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าอธิบายได้ดีที่สุด ณ ตอนนี้ครับ”

พัฒนา ในชุดปกติขาว
ภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯก่อนทำหน้าที่รัฐมนตรี
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
THE STANDARD จึงถามต่ออีกว่า “คุณพ่อในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณาสุข ได้ฝากฝังอะไรก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งหรือไม่”
พัฒนาตอบว่า “ท่านไม่ได้ฝากอะไรมากมายครับ แค่ฝากให้ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด เพราะทุกการตัดสินใจของเรา มีคนได้รับผล ไม่ว่าจะผลดีหรือผลกระทบเชิงไม่ดี ท่านฝากแค่ว่าต้องดูให้ดี ส่วนคำว่า ดีอย่างไร เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องคิด และตัดสินใจ นอกนั้นท่านไม่ได้ฝากอะไรเพิ่มเติม ช่วงนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ก็ยังไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ”

สันติ พร้อมพัฒน์ ขณะกำลังจ้องมองลูกชาย (พัฒนา)
ขณะกำลังแถลงชี้แจงกรณีสำนักงานประกันสังคมซื้อตึก SKYY9
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
THE STANDARD ถามต่อว่า “การเติบโตมาในครอบครัวนักการเมือง ทำให้มองอำนาจกับการรับใช้ประชาชนเป็นอย่างไร ต่างจากคนทั่วไปหรือไม่”
พัฒนาตอบว่า มุมมองที่เรารู้สึกว่าต่างจากคนอื่น คือ เราได้มองทั้งจากข้างในออกไปข้างนอก และจากข้างนอกมองเข้ามาข้างใน ถ้าถามว่ามองจากคนนอกเป็นอย่างไร บางครั้งโดยเฉพาะเรื่องการบริหารบ้านเมือง มีทั้งเรื่องที่พูดได้ และพูดไม่ได้ หรือพูดไปแล้วคนอาจเข้าใจอีกแบบ ฉะนั้นเวลามองจากคนนอกเข้ามา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมจเสจที่เราสื่อ เราอยากจะสื่อแบบหนึ่ง แต่บางครั้งก็สื่อไม่ได้ จึงต้องเลือกเงียบ และยอมถูกดุหรือถูกวิจารณ์บ้าง
ขณะที่จากการมองจากคนภายนอก เขามองด้วยข้อมูลเท่าที่เขามี ก็อาจสงสัยว่าทำไมไม่ทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เขาเห็นแค่เท่าที่เห็น แต่ในมุมของคนที่อยู่ข้างใน เราได้เห็นข้อมูลทั้งหมด เราก็จะรู้ว่าเรื่องไหนพูดได้ แต่ยังไม่ถึงเวลา และเรื่องไหนไม่ควรพูดเลย เพราะพูดแล้วอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
4 สัปดาห์บนเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมอ’
พัฒนา กล่าวว่า ตลอด 4 สัปดาห์แรกของการทำงานไม่ได้รู้สึกกดดัน แต่มองว่าเป็นงานที่มีความท้าทาย ที่ผ่านมาเรามักเห็นนักการเมืองหรือผู้บริหาร โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการ จะมีอายุเฉลี่ยราว 50 ปีขึ้นไป แต่ตนเองเพิ่งอายุ 40 ปี มองจากภายนอกอาจมีคนสงสัยว่า อาวุโสไม่มาก จะสามารถทำงานได้หรือไม่ จะทนแรงกดดันไหวไหม หรือจะผลักดันการทำนโยบายไปข้างหน้าได้แค่ไหน ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นความท้าทาย
แต่ความท้าทายดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่เราจะเข้าไปแก้ปัญหา มองว่าเป็นข้อดีโดยเฉพาะในมุมที่ตนไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เรียนจบแพทย์ แต่จบเรียนด้านการเงิน และปริญญาโทด้านอสังหาริมทรัพย์ เราก็เปลี่ยนจุดที่หลายคนตั้งคำถามว่า ไม่ใช่หมอ แล้วจะมาบริหารกระทรวงหมอได้อย่างไร

“หน้าที่ของเราคือเข้ามาช่วยหมอ และผู้บริหารทุกคน ” พัฒนากล่าว
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
พัฒนาอธิบายว่า การบริหารโดยที่เราที่ไม่ได้เป็นหมอ เป็นข้อดีที่ทำให้เราไม่ต้องโฟกัสว่า จะคิดค้นวิธีรักษาโรคใหม่ๆ แต่เราจะทำอย่างไรให้หมอสามารถใช้เครื่องมือ กรรมวิธี และองค์ความรู้ที่เขามีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทุกวิธีมีทั้งข้อดี ข้อเสีย
แต่บทบาทของเรา หน้าที่ของเราคือเข้ามาช่วยหมอ และผู้บริหารทุกคน พิจารณาว่าพาร์ตไหนที่มีความเสี่ยง และถ้าเรามีประสบการณ์ด้านอื่นๆ ที่ต่างจากมุมมองทางการแพทย์ ก็จะพยายามเข้าไปช่วยปิดจุดเสี่ยง หรือช่วยกันระมัดระวัง จึงคิดว่า เป็นมิติใหม่ในการทำงานร่วมกัน
THE STANDARD จึงถามต่อว่า “ในฐานะที่ไม่ได้จบหมอโดยตรง แต่เคยบริหารธุรกิจมามากมาย จุดแข็งของตัวเองในการเป็นผู้บริหารกระทรวงคืออะไร”
พัฒนา กล่าวว่า ถ้าให้พูดถึงจุดแข็งตรงๆ อาจจะไม่กล้าบอกตัวเองมีจุดแข็งอะไร แต่หลักการทำงานที่ผมใช้มาตลอด คือ ต้องลงไปเห็นปัญหาหน้างานด้วยตัวเอง และฟังทีมงานที่มีความสามารถ ผมไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง แต่สิ่งที่ผมทำได้ คือเมื่อผมต้องทำงาน ผมรู้ว่าตัวเองต้องหยิบหนังสือเล่มไหนขึ้นมาอ่าน หรือปรึกษาผู้รู้ท่านใด
“ผมไม่มีอีโก้ว่า ฉันเป็นรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารประเทศ อย่ามาแนะนำฉัน ผมรู้ว่าต้องขอคำปรึกษา รู้ว่าต้องอ่านหนังสือเล่มไหนมาใช้ ให้คนที่เก่งสามารถทำงานได้เต็มที่ และเราก็ต้องจูนกับเขาให้เข้าใจเป้าหมายของเราให้ตรงกัน ถ้าเป้าหมายชัดเจน ผมว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ให้คนที่มีความสามารถทำงาน”

พัฒนา และวรโชติ สุคนธ์ขจร รมช.สาธารณสุข
ระหว่างตอบข้อสักถามของสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
สำหรับโครงสร้างทีมบริหารกระทรวงสาธารณสุขนั้น ผมมีรัฐมนตรีช่วยว่าการ 1 คน นอกจากนี้ยังมีเลขาฯ ที่ปรึกษา และคณะทำงานครบถ้วน กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงใหญ่ที่มีระบบการจัดการที่ดีมาก นั่นคือเหตุผลที่สามารถดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศได้อย่างละเอียด
สำหรับรัฐมนตรีช่วย คือ วรโชติ สุคนธ์ขจร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านถนัดเรื่องการลงพื้นที่ และเข้าถึงประชาชนมากกว่า ส่วนผมถนัดเรื่องการกำหนดนโยบาย ดังนั้นเราจึงแบ่งหน้าที่กันอย่างกว้างๆ รัฐมนตรีช่วยดูแลพื้นที่ ดูแลประชาชน และดูพื้นที่ ส่วนผมดูแลการวางนโยบายและการออกแบบนโยบายใหม่ แต่เรามีการพูดคุยกันตลอด
นอกจากนี้ ก็ยังมีทีมที่ปรึกษาและคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการบริหารงาน มีที่ปรึกษาหลายท่าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณ ใช้ความรู้และความชำนาญเข้ามาให้คำแนะนำในบางกรมหรือบางเรื่องที่ท่านถนัด รวมถึงที่ปรึกษาที่มาจากภายนอก เช่น ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูล เพื่อจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ
ทุกท่านในทีมมีความรู้ความสามารถ และสามารถขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงได้ ในการประชุมล่าสุด มีผู้เข้าร่วม 3-4 คน ผมได้ย้ำบทบาทด้านการกำหนดนโยบายของผม และทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติในเชิงเทคนิคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะฉะนั้น พวกท่านมีความชำนาญ ผมเห็นว่าอยู่ในทาง อยู่ในกรอบที่เราต้องการ ดังนั้นในรายละเอียดท่านชำนาญกว่าผม ท่านทำได้เลย แล้วเราก็อัปเดตกันเป็นระยะ ตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบ อยู่ในความเร็วที่ต้องการ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ท่านทำได้ดี ผมก็สนับสนุนเต็มที่ นั่นคือสไตล์การทำงานของผม

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ผลงาน สธ. ที่จับต้องได้ใน 4 เดือน
พัฒนากล่าวถึงผลงานที่กระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลอนุทิน ภายใต้ระยะเวลา 4 เดือนที่เขาจะเดินหน้าทำให้สำเร็จ มี 6 นโยบาย ดังนี้
- สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้ทำต่อ ตอนนี้ก็ดำเนินการไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะสิทธิ์การฟอกไตให้ครอบคลุมประชาชนทุกพื้นที่ได้ดำเนินการเอากลับมาใช้เรียบร้อยแล้ว
- ความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพของประชาชน (Health Literacy) อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนนโยบาย เรากำลังสร้างความเข้าใจให้ประชาชนรู้วิธีดูแลสุขภาพตัวเองอย่างถูกต้อง ผ่านการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ย่อยง่ายต่อการเข้าใจ เช่น วิธีเก็บอวัยวะที่ถูกต้อง วิธีการต่อแขนมือ และขั้นตอนกายภาพบำบัด กรณีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือการดูแลเด็กทารก เช่น การให้นมแม่เพียงอย่างเดียว 6 เดือนเต็ม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ของครอบครัว
- แอปพลิเคชันรวมบริการสุขภาพ (Super App) เรากำลังพัฒนาแอปเดียวรวมทุกบริการด้านสุขภาพ โดยมีหมอพร้อมเป็นซูเปอร์แอปเพียงแอปเดียว จะได้ฐานข้อมูล มีสิทธิประโยชน์จาก สปสช. เช่น การจองวัคซีน การจองเวลาพบแพทย์ และข้อมูลสิทธิประโยชน์ของประชาชน ข้อมูลสุขภาพทั้งหมดจะอยู่ในแอปเดียว ทำให้ใช้งานสะดวก และติดตามผลการรักษาได้ต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจการแพทย์ (Medical Economy) เราต่อยอดจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) โดยไม่อยากเป็นแค่ผู้ใช้บริการ แต่ต้องพัฒนา และผลิตเทคโนโลยีการแพทย์ เพื่อสร้างรายได้ และความยั่งยืนให้ระบบสาธารณสุขไทย ลดการพึ่งพางบประมาณรัฐ และสร้างฐานเศรษฐกิจด้านเทคโนโลยีและงานวิจัยภายในประเทศ
- ขวัญกำลังใจบุคลากร เราจะสร้างระบบสนับสนุนและดูแลบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
- ส่งเสริมการมีบุตร และดูแลผู้สูงอายุ เรามุ่งให้ผู้สูงอายุมีรายได้ มีส่วนร่วมในสังคม มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุไม่เป็นภาระต่อสังคม ขณะเดียวกันสนับสนุนเด็กที่เกิดมาให้มีคุณภาพทั้งร่างกาย และจิตใจ

พัฒนา ขณะนั่งทำงานบนเก้าอี้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข
ในสัปดาห์ที่ 4 ของการทำงานรัฐบาล 4 เดือน ภายใต้การนำของนายกฯอนุทิน
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
2 ปัญหาใหญ่ใต้พรมกระทรวง สธ.
“กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงใหญ่ ในฐานะเจ้าของกระทรวง มองเห็นปัญหาของกระทรวงสาธารณสุขในด้านใดบ้าง” THE STANDARD ถามต่อ
พัฒนา กล่าวว่า ทุกที่มีปัญหา ทุกกระทรวง ทุกธุรกิจ ทุกสังคมมีปัญหา เราไม่กลัวปัญหา แต่อันดับแรกต้องเข้าไปดูปัญหา แล้ววิเคราะห์ว่าปัญหาแต่ละอย่างเกิดจากอะไร กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงใหญ่ ปัญหาก็ย่อมมากตามไปด้วย
ปัญหาแรก คือ ปัญหาบุคลากรที่ไม่เพียงพอ หากพูดถึงจำนวนแพทย์ แม้เราจะผลิตได้มากขึ้น แต่จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่เพียงพอ และต้องดูควบคู่กันว่า เมื่อมีแพทย์เพิ่มขึ้นแล้ว การกระจายตัวเป็นอย่างไร หลายพื้นที่ยังขาดแพทย์ หรือเป็นพื้นที่ที่แพทย์ไปแล้วอยู่ไม่ได้
พัฒนากล่าวว่า ตน กับ นพ. สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้พูดคุยกันแล้วว่าจะมีมาตรการและแรงจูงใจให้แพทย์ที่ไปอยู่ในพื้นที่ขาดแคลน ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มากขึ้น เพื่อให้มีแพทย์อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการบริการประชาชน
อีกปัญหา คือเรื่องแพทย์และบุคลากรเหนื่อยล้าทำงานมาก และการกระจายตัวไม่เท่าเทียม รวมถึงปัญหาเชิงเปรียบเทียบระหว่างการทำงานในกระทรวงกับภาคเอกชน ความเหนื่อยในกระทรวงอาจมากกว่า และค่าตอบแทนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับภาคเอกชน ซึ่งเราเข้าใจ แต่ทำอะไรได้ไม่มาก เพราะโรงพยาบาลเอกชนต้องดูแลนักลงทุน มีการแข่งขันสูงกว่า ทั้งเรื่องต้นทุนยาและค่าตอบแทนบุคลากร เขามีภารกิจด้านธุรกิจ
ส่วนกระทรวง เราอาจไม่มีมุมมองแบบผู้ประกอบธุรกิจ แต่มีภารกิจในการดูแลสุขภาพประชาชน รักษาระบบให้คงอยู่ และผลิตแพทย์กับบุคลากร เราอาจไม่สามารถให้ค่าตอบแทนเทียบเท่าเอกชนได้ แต่พยายามให้ทั้งค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินรวมกัน เพื่อให้สามารถจูงใจให้แพทย์ยังอยู่กับเราได้
ภาระงานของแพทย์เป็นงานหนัก ผู้บริหารกระทรวง และตัวผมทราบดี แต่ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ได้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตาม เราเริ่มแก้ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยดูว่างานใดเป็นงานโดยตรง และงานใดเป็นงานอ้อมที่ควรตัดออกจากกระบวนการบริการคนไข้
การเชื่อมโยงฐานข้อมูลจะช่วยทั้งคนไข้และแพทย์ เมื่อมีระบบเชื่อมข้อมูล เช่น การแพ้ยา แพ้อาหาร กรุ๊ปเลือด ไม่ว่าจะไปโรงพยาบาลแห่งใดก็สามารถแชร์ข้อมูลได้ โดยที่แพทย์หรือพยาบาลไม่ต้องถามซ้ำ หากลดเวลาได้หนึ่งนาที ภาระงานของแพทย์ก็ลดลงหนึ่งนาที ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และผู้ป่วยต้องให้ความยินยอม
กระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลในสังกัดกว่า 1,000 แห่ง มีฐานข้อมูลของตนเอง โรงพยาบาลของกรุงเทพมหานครประมาณก็มีฐานข้อมูลของตนเอง เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเอกชน แต่ฐานข้อมูลทั้งสามส่วนนี้ยังไม่เคยเชื่อมกัน การเชื่อมข้อมูลไม่ใช่การเทถังข้อมูลแห่งหนึ่งใส่อีกถังหนึ่ง แต่ต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้อง
เมื่อสามารถแชร์ข้อมูลได้ ข้อมูลบางอย่างไม่ต้องถามคนไข้ซ้ำ หรืออาจถามเพื่อย้ำและอัปเดต ซึ่งจะทำให้ปริมาณงานของแพทย์ลดลง ระยะเวลารอของคนไข้ลดลง บรรยากาศโรงพยาบาลดีขึ้น สิ่งแวดล้อมการทำงานดีขึ้น งานอ้อมบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องให้แพทย์หรือพยาบาลทำ อาจใช้ระบบอัตโนมัติหรือแบบประเมินตนเองผ่านโทรศัพท์มือถือเข้ามาช่วย

พัฒนา พาทีมข่าว THE STANDARD
สำรวจจุดต่างๆของกระทรวงสาธารณสุข
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ขณะที่ ปัญหา สปสช. นั้น พัฒนายืนยันว่าระบบสาธารณสุขไทยยังแข็งแรง ทุกฝ่ายจะไม่มีการหยุดให้บริการประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมา มีหลายเสียงวิจารณ์ว่าทั้ง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขทำงานได้ไม่ดีพอ ต้องปฏิรูปหรือปรับปรุงการดำเนินการ เพราะระดับการบริการอาจยังไม่น่าพึงพอใจ ทุกวงการมีช่องว่างให้พัฒนา สิ่งที่ทำดีแล้วต้องรักษา ส่วนสิ่งที่ยังไม่ดี ทั้ง สปสช. และกระทรวงสามารถปรับปรุงได้
ปัจจุบันเราได้เริ่มแก้ปัญหาแล้ว ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันทุกสัปดาห์ มีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม และผมเองก็ร่วมพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา บรรยากาศดีขึ้น โมเมนตัมกลับมาแล้ว ยืนยันว่าจะไม่มีการหยุดให้บริการประชาชนแน่นอน
ที่ผ่านมา หลายปัญหาเกิดจากความไม่เข้าใจกัน และการสื่อสารผ่านสื่อ แทนที่จะคุยกันตรงๆ ทาง สปสช. ก็ยอมรับว่ามีหลายเรื่องที่อยากปรับปรุง และการปรับปรุงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราคุยกัน แชร์ข้อมูลกัน และเปิดใจว่า เหตุผลหนึ่งทำแบบนี้ เหตุผลสองทำแบบนั้น แล้วจะดีขึ้นไหมหากลองวิธีที่สาม หรือวิธีที่สี่ ตอนนี้บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการแก้ไข ขอให้ใจเย็นๆ นิดหนึ่งครับ

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
THE STANDARD จึงถามต่อว่า “กระทรวงสาธารณสุข ปี 2569 ได้รับงบประมาณ 54,867,608,000 บาท ในฐานะเจ้ากระทรวง จะบริหารงบประมาณอย่างไรให้โปร่งใสมากที่สุด และสามารถตรวจสอบได้”
พัฒนา กล่าวว่า กระบวนการใช้งบประมาณมีความโปร่งใสในระดับหนึ่งอยู่แล้ว อย่างที่เรียนไป เรายังสามารถยกระดับความโปร่งใสให้มากขึ้นได้เสมอ ทุกที่มีช่องว่างให้ปรับปรุง หากสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัล หรือเครื่องมืออื่นๆ มาช่วยให้การใช้จ่ายรวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น เราก็พร้อมและตั้งใจดำเนินการภายในระยะเวลาที่มี เพื่อปรับปรุงให้โปร่งใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ตอนนี้ผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ยังไม่ได้เข้าไปจัดการงบประมาณมากนัก เพราะงบประมาณปีนี้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงการใช้งบที่ถูกตั้งไว้ อาจมีเวลาไม่มาก ทำให้ผลกระทบไม่ใหญ่เท่าไร แต่ถ้ามีโอกาส เราจะทำให้โปร่งใสมากขึ้นอย่างแน่นอน”

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
THE STANDARD จึงถามต่อว่า “การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกบนเส้นทางการเมือง จะวัดความสำเร็จของตัวเองอย่างไร”
พัฒนา กล่าวว่า “KPI ของตัวเองคือ ทุกวันเมื่อกลับบ้าน ผมจะคิดอยู่เสมอว่าวันนี้เรายังทำอะไรได้อีกไหม ในสิ่งที่รู้สึกว่ายังทำได้ นั่นเป็นสิ่งเตือนตัวเอง ส่วนการวัดว่าผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ ผมไม่ได้วัดแบบนั้น ผมวัดจากภาพรวมที่เราต้องการทำ นโยบายที่อยากขับเคลื่อน วันนี้ในทุกวัน ทุกนาที การกระทำของเราทำได้เต็มที่แล้วแบบที่มันควรจะเป็นหรือยัง หากเป็นไปตามนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องเสียใจหรือเสียดาย”
“ท่านจะจำผมอย่างไรก็ได้ในบทบาทหน้าที่นักการเมือง”
ก่อนจบบทสนทนา THE STANDARD ขอให้ตอบคำถามสุดท้ายว่า “อยากให้ประชาชนคนไทยจดจำชื่อ พัฒนา พร้อมพัฒน์ บนเส้นทางการเมืองครั้งนี้อย่างไร”
พัฒนา กล่าวว่า “ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ผมคิดว่า คงไม่ได้มีภาพของตัวเองที่อยากให้คนจำภาพนั้นๆ อะไรนัก อยากให้จำแค่ว่า คนคนนี้เป็นคนหนึ่งที่มีเรื่องราว ทั้งก่อนเข้ารับตำแหน่ง ระหว่างอยู่ในตำแหน่ง และถ้าวันหนึ่งต้องออกจากตำแหน่ง ก็อยากให้คนที่มองเราตามข้อมูลที่เห็น ที่ได้เสพใช้ในการตัดสิน มองอย่างไรก็ได้ ผมไม่มีอีโก้ หรือความรู้สึกว่า ท่านต้องมองผมแบบนี้ แบบนั้น
วันนี้ก็เป็นหัวโขนหนึ่งที่เราต้องเข้ามารับหน้าที่ วันหนึ่งเมื่อวางลงไป เราก็ยังเป็น ‘พัฒนา พร้อมพัฒน์’ คนเดิม เหมือนตอนที่เดินเข้ามา และตอนเดินออกไปส่วนระหว่างที่อยู่บนเวที ต้องทำงานตามบทบาทหน้าที่
“ผมก็ขอให้ทุกท่านรู้ว่า ผมทำหน้าที่เต็มความสามารถ เต็มที่ภายใต้ข้อจำกัด ทั้งเรื่องเวลา งบประมาณ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรอบของเวที ท่านจะจำผมอย่างไร ก็ได้ในบทบาทหน้าที่นักการเมือง”

“ท่าน (ประชาชน) ท่านจะจำผมอย่างไรก็ได้ ต่อบทบาทหน้าที่นักการเมือง”
พัฒนากล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร


