หากเมียงมองไปทางหัวเมืองใหญ่ทางด้านตะวันออกอย่างจังหวัดระยอง คุณอาจจะคิดถึงทะเลสวยๆ ที่เกาะเสม็ด หรือบ้านเกิดของสุนทรภู่ก็ตามแต่ หากในแง่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระยองก็มีบทบาทในฐานะเมืองอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการครองตำแหน่งจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงสุดในประเทศเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นไม่น่าสงสัยเลยหากจะมีกลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ เดินหน้าเข้าไปลงทุนในจังหวัดระยองกันอย่างขวักไขว่
ครั้งนี้ THE STANDARD มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับ คุณแอน-ปัทมาพร นกหงษ์ นักธุรกิจสาวผู้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดในเมืองระยองอย่าง แหลมทอง เธอเป็นผู้หญิงที่เติบโตมาในระบบกงสี ผู้ไม่ประสีประสาเรื่องการทำธุรกิจใดๆ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง และอยู่ภายในกรอบที่ครอบครัววางไว้มาค่อนชีวิต
คำถามคือ ทำไมเธอจึงลุกขึ้นมาทุบกรอบชีวิตเหล่านั้นทิ้งไปด้วยการเดินหน้าบริหารธุรกิจห้างสรรพสินค้าและโรงแรมด้วยตัวเอง มันไม่ใช่แค่เพราะเธอหลงใหลในการเดินห้างสรรพสินค้าหรือชอบช้อปปิ้ง แต่เราพบว่าเธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นสู้เพื่อไม่ให้ตัวตนของเธอหลอมสลายไปอย่างไร้ค่า และประกาศกร้าวว่าการเป็นผู้หญิงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะอ่อนแอ
“เวลาจะทำอะไรสักอย่าง เราไม่ใช่คนมองโลกสวยเลย แต่เราจะมอง Worst Case ไว้เสมอ มองความเป็นไปได้ในแง่ลบที่สุดเท่าที่มันจะสามารถเกิดได้”
จริงๆ แล้วคุณแอนเป็นคนระยองแต่กำเนิดหรือไม่?
ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วแอนเป็นคนศรีราชา ย้ายมาอยู่ระยองตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อเริ่มทำไซต์ก่อสร้างห้างแหลมทอง ช่วงประมาณปี 39-40 ซึ่งตอนนั้นพอห้างเปิดได้ประมาณ 2 เดือน แหลมทองกำลังบูมมาก ยอดขายดี แต่แล้วก็เจอวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 กลายเป็นห้างที่เพิ่งเปิดไม่มีคนเลย ห้างล่ม เงินกู้มายังใช้หนี้ไม่ทันหมด ผู้ขายก็มาขนของออกไปหมด
ความรุนแรงของวิกฤตในวันนั้นส่งผลอย่างไรกับคุณในปัจจุบัน?
มันรุนแรงมากนะคะ ต้มยำกุ้งมันทำให้แอนไม่เคยประมาทกับชีวิตอีกเลย เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรสักอย่าง เราจะไม่ใช่คนมองโลกสวยเลย แต่เวลาเราจะทำอะไร เราจะมอง Worst Case เอาไว้เสมอ มองความเป็นไปได้ในแง่ลบที่สุดเท่าที่มันจะสามารถเกิดได้ เช่น สมมติฉันเป็นคนที่ไม่มีรายได้เลยล่ะ แล้วฉันจะสร้างธุรกิจอย่างไร?
นอกเหนือจากเรื่องธุรกิจแล้ว ในเรื่องของการใช้ชีวิต คุณนึกถึง Worst Case ด้วยหรือเปล่า
เราเป็นคนไม่คาดหวังกับอะไรเลย เราเป็นคนชอบอิสระ ดังนั้นเราจึงจะไม่บังคับใครเลย ไม่ว่าจะทั้งกับลูกหรือกับลูกน้องในทีม แต่เราจะมีเป้าหมายให้เขา เรารู้สึกว่ากฎเกณฑ์บางอย่างเป็นเรื่องไร้สาระ เลยรู้สึกว่าไม่มี Worst Case ในการใช้ชีวิตสักเท่าไร แค่ไม่ประมาทก็พอ
ตอนเด็กๆ คุณแอนเคยคิดหรือไม่ว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัว
ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) เราเป็นคนที่เคยอยู่ในกรอบมาโดยตลอด ด้วยความที่บ้านเป็นระบบกงสี เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่มีความคิดหรือทักษะอะไรเป็นของตัวเอง แอนอยู่ในกรอบจนวันหนึ่งเราลุกขึ้นมาแข็งข้อกับคุณพ่อ แอนเดินไปคุณพ่อว่า บาย ฉันจะไม่เอาอะไรอีกแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่เชื่อเลยว่าแอนจะออกจากกงสี ยังหัวเราะใส่อยู่เลย (หัวเราะ)
เป็นความรู้สึกอึดอัดในฐานะเป็นผู้หญิงที่เติบโตมาในระบบกงสี?
มันรุนแรงกับความรู้สึกเรา แอนรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยหัวเราะออกมาจากใจเราเองเลย ช่วงที่เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราก็เริ่มมานั่งคิดดูดีๆ ว่า ‘เงิน’ กับ ‘ชีวิตที่เป็นอิสระ’ เราจะเลือกอะไร ที่ผ่านมาเราเลือกเงินมาโดยตลอด เพราะแอนคิดแค่ว่า ไม่มีเงินแล้วเราจะอยู่ได้ยังไง แต่ ณ วันที่เรากล้าแหกกฎ แอนพบว่าเงินไม่ใช่คำตอบ อิสรเสรีภาพ เกียรติยศและศักดิ์ศรีของเรามันไม่เหลืออะไรอีกต่อไป ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พอแยกตัวออกมาแอนก็พบว่า ‘นี่ฉันไม่ได้หัวเราะออกมาจากใจแบบนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว’ (หัวเราะ)
จุดไหนที่คุณแอนมองว่า ฉันจะไม่ทนกับระบบแบบนี้อีกแล้ว
ต้องบอกว่าแอนเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และเมื่อเราอยู่ในกรอบ มันเหมือนเรากำลังเดินตามใครสักคน ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ดี แต่ความคิดมันแตกต่างกันมาก เพราะเราเองก็จะมีวิธีคิดของเราอีกแบบหนึ่ง แต่การที่เราต้องไปอยู่ในกรอบกงสี มันทำให้เราไม่สามารถเป็นตัวเราได้ มันไม่ใช่เรา เราอยู่ในกงสี เราก็ยังได้เงินเดือนจากเขา ไม่ต้องทำงานเราก็สบาย แต่เราจะไม่มีชีวิตที่เป็นของตัวเอง เราจะไม่มีความสุข แอนไม่รู้จริงๆ ว่าจุดไหน แต่ถึงวันที่แอนเลือก แอนต้องตัดสินใจ แอนก็ออกมาเลย เดินไปบอกพ่อว่า ‘แอนจะไม่เอาอะไรอีกแล้ว’ ไม่ว่าจะเงินเดือนหรือทุกๆ อย่าง คุณพ่อก็เข้าใจ และก็ยกห้างแหลมทองตรงนี้ให้บริหาร
“แอนคิดแค่ง่ายๆ สองอย่าง ‘ทำแล้วได้’ หรือ ‘ทำแล้วเจ๊ง’ แอนมองว่าการทำธุรกิจห้างมันคือแพสชันของเรา แล้วเราจะไม่ทำมันให้ดีหรือ ในเมื่อวันนี้เรามีโอกาสแล้ว เราจึงทำสุดตีนเลย”
คุณใช้วิธีการทำงานอย่างไร ในเมื่อไม่เคยมีประสบการณ์และความรู้ทางด้านนี้เลย
จากคนไม่เป็นอะไรเลย แอนเป็นแค่คนขายของ แอนไม่มีความรู้เรื่องโครงสร้าง ไม่มีความรู้เรื่องการบริหาร การเงิน แต่การทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าคุณต้องรู้ทุกอย่าง เลย์เอาต์ บัญชี งานก่อสร้าง ซึ่งแอนไม่เป็นอะไรเลย แต่แอนเชื่อว่าแอนจะทำได้ จนน้องในทีมบางคนถามว่า “พี่แอนเป็นอะไรสักอย่างไหมคะ?” (หัวเราะ) เหมือนแอนทำมันไปเสียทุกอย่างเลย แอนคิดง่ายๆ แค่สองอย่าง ‘ทำแล้วได้’ หรือ ‘ทำแล้วเจ๊ง’ แอนมองว่าการทำธุรกิจห้างมันคือแพสชันของเรา แล้วเราจะไม่ทำมันให้ดีหรือในเมื่อวันนี้เรามีโอกาสแล้ว เราจึงทำสุดตีนเลย (หัวเราะ – ก่อนจะตบท้ายอย่างขำขันว่า ‘แอนไม่ใช่ผู้หญิงพูดเพราะนะ’) แอนก็เรียนรู้ขวนขวายทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ห้างแห่งนี้อยู่ได้
คุณแอนหลงใหลการเดินห้างขนาดไหน
พูดตรงๆ ว่าใครคบแอนจะคบไม่ได้ แอนเป็นคนคบยาก เพราะทุกวันหยุดแอนต้องไปเดินห้าง (หัวเราะ) แอนเป็นคนไลฟ์สไตล์น่าเบื่อมาก ชอบเดินห้าง แล้วการเดินคือเดินเฉยๆ เลยนะ แอนมองว่าความสุขของการเดินห้างคือการได้เห็นทุกอย่าง ได้เห็นคน ได้เห็นชีวิต ได้เห็นเทรนด์ ได้เห็นการอัพเดต แอนเป็นคนที่รู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตเราจะต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสมอ แอนสามารถเข้ากรุงเทพฯ ไปเดินห้างโน้นห้างนี้ เพื่อจะต้องไปเห็นทุกอย่าง และนำสิ่งที่เราเห็นให้มันกลับมาอยู่ตรงนี้ อาจคิดว่าที่นี่ก็แค่จังหวัดระยอง แต่ทำไมฉันจะต้องลงทุนแค่เพราะเป็นระยองล่ะ?
จุดแข็ง-จุดอ่อนของ ‘Passione Shopping Destination’ ในฐานะธุรกิจห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นเมื่อเทียบคู่แข่ง
ห้างของแอนมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ในความคิดแอนไม่มีใครเป็นที่สุดและเป็นเบอร์หนึ่งเสมอไป แอนมีแนวคิดว่าเราอย่าไปตั้งว่าใครเป็นโจทก์ ใครเป็นจำเลยในการแข่งขัน เราต้องสู้กับตัวเราเองก่อน สู้ด้วยโจทย์ของเรา เราวิ่งไปของเรา และถ้าถามว่าห้างท้องถิ่นจะรู้จักลูกค้าท้องถิ่นตัวเองที่สุดหรือเปล่า แอนตอบไม่ได้นะ เราคิดว่าทุกที่มีข้อดีข้อเสียกันทุกด้าน เราอาจจะเล็กแต่เราก็มีข้อได้เปรียบ ข้อเสียเปรียบเราก็มี แต่คำถามคือเราจะใช้ประโยชน์ของข้อได้เปรียบนั้นอย่างไร? สำหรับแอน เราใช้ใจทำกับธุรกิจนี้ เรารักลูกค้าเรา แอนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจห้าง แต่มันคือการดูแลลูกค้า การดูแลผู้ค้าด้วย และเราใส่ใจในทุกรายละเอียด
“แอนว่าทุกที่มีข้อดีข้อเสียกันทุกด้าน เราอาจจะเล็กแต่เราก็มีข้อได้เปรียบ ข้อเสียเปรียบเราก็มี แต่คำถามคือเราจะใช้ประโยชน์ของข้อได้เปรียบนั้นอย่างไร?”
ระยองเติบโตขึ้นมากน้อยแค่ไหนในความคิดของคุณ และการมาถึงของกลุ่มค้าปลีกใหญ่ส่งผลอย่างไรกับธุรกิจของคุณบ้าง
ระยองต้องไปไกลอยู่แล้วค่ะ จากลักษณะทางเศรษฐกิจและการใช้จ่าย เราเข้าใจนะว่าวันที่ระยองเติบโต ใครๆ ก็อยากเข้ามา และแอนเชื่อว่าทุกการแข่งขันมันทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเสมอ ถ้าเรากลัวการแข่งขัน เราไม่ควรอยู่บนโลกนี้ โลกนี้มันคือการแข่งขัน เราจะต้องทันต่อการปรับตัว ตอนนั้นวันที่เซ็นทรัลจะเปิดวันแรก เราตัดสินใจทุบหม้อข้าวตัวเอง แอนไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่เราเลือกที่จะทุบส่วนหนึ่งของโซน Department Store เพื่อรีโนเวตใหม่ทั้งหมด ตอนนั้นแอนคิดว่า “ถ้ามึงไม่ทำมึงก็ตาย” แอนเลือกฆ่าตัวตาย ฮาราคีรีตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ทุบของดีๆ ทิ้งหมดเพื่อเริ่มใหม่ เหมือนลั่นกลองว่าสู้เว้ย! (หัวเราะ)
มุมมองชีวิตในแง่ไหนของคุณที่คิดว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ได้
จำไว้เสมอว่าเกิดเป็นผู้หญิงเราไม่ได้ด้อยกว่าใคร มันอยู่ที่ใจล้วนๆ คุณอยากจะแสดงตัวเองเป็นแบบไหนล่ะ? คุณอยากบอกโลกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่เลิกกับสามี ฉันมีปัญหาโน่นนี่นั่นในชีวิต แอนไม่เคยเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างให้กับความอ่อนแอของตัวเอง เพราะเราคิดว่า ‘ฉันจะสู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง’ เพราะฉันคิดจะรบ แต่ต้องเป็นการรบที่มีอาวุธเป็นความคิด มีการวางแผน มีความรอบคอบ เพราะฉะนั้นวันที่เราประสบความสำเร็จในจุดหนึ่งแล้ว มันเกิดจากการที่เราไม่ได้มั่ว ไม่ได้ฟลุ๊ก แต่มันจะเกิดจากความตั้งใจและความใส่ใจจริงๆ
Photo: Courtesy of Polyplus PR
- ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง คือห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในจังหวัดระยอง เปิดให้บริการเมื่อปี 2540 ก่อนที่จะรีโนเวตเปลี่ยนโฉมและชื่อเป็น ‘Passione Shooping Destination’ เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมาด้วยงบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาท
- คุณแอนบอกกับเราว่า เธอชอบประเทศฝรั่งเศสมาก ชอบความดัดจริตกรีดกราย เธอชอบเสพความเวอร์วังและนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาปรับใช้กับทั้งตัวห้างสรรพสินค้าและโรงแรมแห่งใหม่ของเธอ โดยเฉพาะร้านค้าทุกร้านในห้าง ทั้งเคาน์เตอร์เล็ก หรือแบรนด์ใหญ่ เธอเป็นคนเลือกเองทั้งหมด
- และอีกความน่าตื่นเต้นของธุรกิจในชายคาของคุณแอนคือการนำ ‘Holiday Inn & Suites’ โมเดลใหม่จากโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์เข้ามาบริหาร โดยเป็นโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์แห่งแรกในประเทศไทยที่มีการให้เช่าพักแบบระยะยาว ทั้งยังตั้งอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มผู้ทำธุรกิจในจังหวัดระยองเป็นหลัก