วันนี้ (3 มิถุนายน) พนิต วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัว ‘Panich Vikitsreth – พนิต วิกิตเศรษฐ์’ เรื่อง ‘กรุงเทพฯ กับอนาคต ในวันที่งบหมด’ โดยระบุว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนกรุงเทพฯ ต้องกลับมาคิดถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาเมืองด้วยตัวเอง
“กระแสข่าวการเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พร้อมกับข่าวที่ว่า มีงบประมาณในการขับเคลื่อนนโยบายในปี 65 อยู่เพียงร้อยล้านบาท และอาจจะยังมีเงินสะสมอยู่อีกหมื่นกว่าล้านบาท (แต่ต้องไปขออนุมัติจากสภา กทม.) สำหรับใช้จ่ายไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณนี้ (ปลายเดือนกันยายน)
“จากกระแสดังกล่าวข้างต้น มีข่าวว่าข้าราชการกำลังเตรียมเสนอให้ผู้บริหารชุดใหม่เพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้น เช่น ภาษีบุหรี่ ค่าธรรมเนียมห้องพัก หรือภาษีน้ำมันที่หัวจ่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คงจะเป็นภาระต่อคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังลำบากอยู่ในช่วงนี้
“เมืองหลวงชั้นนำในหลายประเทศส่วนใหญ่ เช่น ลอนดอน โตเกียว โซล ได้มีการเปิดให้ประชาชนสามารถร่วมลงทุน โดยผ่านเครื่องมือทางการเงินรูปแบบต่างๆ ได้ แต่ทำไมคนกรุงเทพฯ ยังไม่ได้มีโอกาสในการลงทุนสร้างอนาคตของตัวเอง การพัฒนากรุงเทพฯ ให้ครบทุกมิติ จะรองบประมาณจัดสรรจากรัฐบาลหรืองบประมาณจากการเก็บภาษีอย่างเดียวคงไม่พอ ระบบการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากงบประมาณกรุงเทพฯ ไม่เพียงพอ กรุงเทพฯ ต้องหยุดพัฒนาหรือ? การพัฒนากรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทันต่อความต้องการของประชาชน
“พันธบัตรเมือง (Municipal Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ ซึ่งกรณีนี้ คือ ‘เมือง’ ให้ประชาชนได้ลงทุนหรือใช้เงินในอนาคต มาใช้สำหรับการสร้างสิ่งจำเป็นเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของทุกคน เช่น ระบบขนส่งมวลชน โรงพยาบาล และโรงเรียน
“ในขณะเดียวกันสังคมเองก็ให้ความสำคัญกับการออมเงิน และช่องทางในการลงทุนที่มีความคุ้มค่า มั่นคงสำหรับอนาคต โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้ที่เกษียณแล้ว แต่ต้องการมีรายได้อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ พันธบัตรกรุงเทพฯ (Bangkok Bond) จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ
“หากมีการออกพันธบัตรกรุงเทพฯ (Bangkok Bond) จะทำให้ผู้ที่สนใจหันมาร่วมลงทุนในการพัฒนาเมืองของเรา และที่สำคัญยังต้องการให้ประชาชนมาร่วมตรวจสอบโครงการต่างๆ ในฐานะผู้ลงทุน และสิ่งนี้จะทำให้กรุงเทพฯ ก้าวสู่การพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองแห่งความหวัง เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน” พนิตกล่าว
