เมื่อวานนี้ (7 ส.ค.) ปากีสถานประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและระงับการค้ากับอินเดีย โดยได้ประกาศให้ทูตระดับสูงของอินเดียประจำกรุงอิสลามาบัดเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา (Persona Non Grata) มีคำสั่งให้เดินทางออกนอกประเทศ อีกทั้งจะยังไม่ส่งทูตระดับสูงของปากีสถานเดินทางไปประจำที่อินเดียในช่วงเวลานี้ และระงับการค้ากับอินเดียในทุกระดับ
ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผลักดันการยกเลิกกฎหมายมาตรา 370 ในรัฐธรรมนูญที่ระบุให้รัฐชัมมูและแคชเมียร์มีสถานะพิเศษได้เป็นผลสำเร็จ โดยได้ยกเลิกสถานะพิเศษนั้นให้กลายเป็นเพียงดินแดนสหภาพ พร้อมทั้งแยกลาดักห์ ภูมิภาคที่เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชัมมูและแคชเมียร์ ก็ถูกแยกให้กลายเป็นดินแดนสหภาพอีกแห่งหนึ่ง และให้ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง
การกระทำนี้ของอินเดียทำให้ปากีสถานไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งหมดของแคชเมียร์และต่อสู้กันมาโดยตลอด นับตั้งแต่ประกาศเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1947 โดยประชากรที่อาศัยอยู่ในรัฐแห่งนี้มากกว่า 60% เป็นชาวมุสลิม จึงทำให้รัฐชัมมูและแคชเมียร์เป็นเพียงรัฐเดียวในอินเดียที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
หลายฝ่ายมองว่า การยกเลิกสถานะพิเศษนี้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรภายในรัฐแห่งนี้ เนื่องจากกฎหมายมาตรา 370 เดิมทีได้ห้ามมิให้ชาวอินเดียนอกรัฐชัมมูและแคชเมียร์เข้าไปจับจองที่ดิน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแคมเปญสำคัญที่โมดีและพรรคภารตียชนตา (BJP) ผลักดันมาโดยตลอด เพื่อให้ทุกรัฐในอินเดียมีความเท่าเทียมกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทางการจีนเองก็ระบุว่า การกระทำของอินเดียนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะจีนเองก็ยังมีความคลุมเครือในประเด็นการปักปันเขตแดนกับลาดักห์ที่ได้กลายเป็นดินแดนสหภาพใหม่ของอินเดีย
ขณะนี้ในรัฐชัมมูและแคชเมียร์เต็มไปด้วยทหารและกองกำลังรักษาความสงบ คอยลาดตระเวนตามพื้นที่ต่างๆ สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังคงถูกตัดขาดนับตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลอินเดียเชื่อว่า จะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจในครั้งนี้นำไปสู่การแยกตัวเป็นสหภาพดินแดนใหม่ได้โดยสันติ
ภาพ: Rakesh Bakshi / AFP / Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: