นานๆ ครั้งถึงจะได้เห็นร้านกาแฟในกรุงเทพฯ ที่เน้นแต่เมล็ดกาแฟ Single Origin เท่านั้น PAGA Microroastery ร้านกาแฟเปิดใหม่ล่าสุดในซอยสุขุมวิท 31 เป็นร้านที่เหมาะกับการมาแสวงหาประสบการณ์การดื่มกาแฟในรูปแบบใหม่ๆ ชนิดที่ว่ามาเยือนร้าน PAGA และลองคุยกับบาริสต้าดูหนึ่งครั้ง คุณก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟกลับไปมากมาย
บรรยากาศร้าน
PAGA Microroastery เป็นร้านกาแฟเปิดใหม่สีขาวสะอาดตาในซอยสุขุมวิท 31 โดย 3 หุ้นส่วนร้านคือ เอนก จงสเถียร, แพท-ภัทริกา โยธินวัฒนาอุดม และ แกเบรียล คารอล แชมป์ Brewers Cup Romania ปี 2017 และ 2018 และยังเป็น World Brewers Cup 2018 ลำดับที่ 9 ของโลกอีกด้วย ตัวร้านดีไซน์ด้วยสีขาวและกระจกดูเรียบง่าย โปร่งใส และสามารถเห็นการทำงานของเหล่าบาริสต้าได้ทุกขั้นตอนด้วยฝีมือการดีไซน์ของ Tastespace.co ที่ตั้งใจดีไซน์ออกมาเพื่อการสร้างสรรค์กาแฟคุณภาพอย่างแท้จริง
เมื่อเดินเข้าร้านมาจะพบกับความหมายของคำว่า Microroastery ที่ติดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ว่า “เมล็ดกาแฟ Single Origin ขนาด Microlots คุณภาพดีที่ถูกนำมาคั่วโดยผู้เชี่ยวชาญในปริมาณน้อย”
การคั่วกาแฟของทางร้านนั้นเริ่มต้นจากชั้นบนสุดที่เป็นห้องเก็บกาแฟ ภายในห้องมีการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับเมล็ดกาแฟ มีลิฟต์สำหรับขนย้ายเมล็ดกาแฟไปยังห้องคั่วกาแฟชั้นสอง ทำให้เมล็ดกาแฟแทบไม่ต้องสัมผัสอุณหภูมินอกห้อง เมื่อส่งถึงชั้นสองก็สามารถเข้าเครื่องคั่วได้เลย เครื่องคั่วกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้คือเครื่องแบรนด์ Loring จากสหรัฐอเมริกา
เมนูของร้านจะมี Flavor Wheel หรือวงล้อสีที่ทางร้านออกแบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับรู้ข้อมูลกลิ่นและรสผ่านสีที่ใช้กำกับไว้ เพื่อการสื่อสารระหว่างบาริสต้าและลูกค้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น เช่น กลิ่นรสนัตตี้ก็จะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้ม ซิตรัสสีเหลือง และฟลอรัลสีชมพูกะปิ
เริ่มที่เมนูหมวดหมู่ Milk & Coffee ที่ทางร้านอยากนำเสนอกาแฟนมเย็นแบบใหม่ที่ไม่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย เกิดขึ้นจากการที่แกเบรียลได้ไปเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ แล้วได้รู้ว่ารสนิยมการดื่มกาแฟของคนกรีซและคนไทยมีความคล้ายคลึงกันอยู่ในบางส่วน ด้วยฤดูกาลที่มีแค่ฤดูฝนและฤดูร้อน และวิธีการดื่มกาแฟที่ต้องผสมนม แต่คนกรีซจะดื่มกาแฟนมแตกต่างกับคนไทยตรงที่พวกเขาใช้มิกเซอร์ผสมนมกับกาแฟ ทำให้เกิดเป็นเท็กซ์เจอร์ที่มีความมันและมีรสชาติมากกว่า ส่วนคนไทยนั้นเพียงแค่เทนมใส่กาแฟก็ดื่มได้เลย
บรรยากาศร้าน
อีกหนึ่งไฮไลต์คือ เครื่องเอสเพรสโซ Sanremo Opera 2.0 เป็นเครื่องเดียวกับร้านกาแฟที่เมืองเอเธนส์ และเพื่อให้การทำงานหลังเคาน์เตอร์ง่ายขึ้น ทางร้านก็มีเครื่อง The Juggler หรือเครื่องจ่ายนมจากประเทศออสเตรเลียที่ปัจจุบันมีแค่ที่นี่เท่านั้น เครื่องจ่ายนมตัวนี้ช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบเรียบร้อยบนเคาน์เตอร์ เพราะเพียงแค่หยิบพิชเชอร์แต่ละขนาดมาวางที่เครื่อง เครื่องก็จะจ่ายนมให้ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี นอกจากนี้ยังช่วยลดความลำบากในการก้มเงยหรือเดินไปมาเพื่อหยิบแกลลอนนมออกจากตู้ ทำให้เหล่าบาริสต้าไม่ต้องปวดหลังจากการก้มเงยบ่อยจนเกินไปด้วย
Cappuccino (130 บาท)
Paga (150 บาท) และ Freddo (150 บาท)
เมนูที่เรียบง่ายที่สุดจากเครื่องเอสเพรสโซของหมวดหมู่ Milk & Coffee เป็น Cappuccino (130 บาท) ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ที่ไม่เหมือนใครทั้งสองของร้านคือ Freddo (150 บาท) แก้วนี้จะเป็นการมิกซ์นมให้มีเท็กซ์เจอร์เหมือนกาแฟที่กรีซ และ Paga (150 บาท) เป็นการพลิกกลับด้านของ Freddo ด้วยการมิกซ์กาแฟให้มีเท็กซ์เจอร์แทนก่อนที่จะเทลงบนนม ส่วนอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของกาแฟในแบบฉบับกรีซที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ Long Black ของไทยนั้นเป็นกาแฟผสมน้ำเปล่า แต่ Long Black ของกรีซนั้นเป็นกาแฟใส่นม เพราะฉะนั้น Long Black (100 บาท) ของทางร้านก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่น่าลอง
Rosemary (290 บาท)
ด้วยความที่ในอดีต แกเบรียลเคยเป็นบาร์เทนเดอร์มาก่อน ที่นี่จึงมีเมนูในหมวด Coffee & Spirits ให้ลองถึง 6 เมนูกับวิธีการทำ 3 แบบ มีการใช้ทั้งกาแฟ Espresso, Cold Brew, และ Filter ในการทำ และแน่นอนว่าแอลกอฮอล์ที่ใช้นั้นเป็นแบบ Low ABV หรือเปอร์เซ็นต์ต่ำทั้งหมด ดังนั้นการดื่ม Coffee & Spirits ที่นี่จะทำให้สติของคุณยังคงอยู่กับเนื้อกับตัว เริ่มจากเมนูที่บางเบาที่สุดอย่าง Rosemary (290 บาท) ที่ใช้ Cold Brew ในการทำ ด้วยความสดชื่นของกาแฟประเภทนี้ ส่วนผสมอื่นๆ จึงประกอบไปด้วยอะไรก็ตามที่ยกระดับความสดชื่นขึ้นไปอีกอย่าง Orange Liqueur และ Rose Lemonade ปิดท้ายด้วยการใส่ใบโรสแมรีเผาลงไป เป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นเหมาะกับวันที่อากาศร้อน
การทำ Coffee & Spirits
Irish Coffee (320 บาท) และ Espresso Martini (290 บาท)
หรือจะเป็นเมนูคลาสสิกอย่าง Espresso Martini (290 บาท) ทางร้านก็มี แก้วนี้ประกอบไปด้วย Vodka และ Mr.Black Coffee Liqueur ตามด้วยเอสเพรสโซช็อต และตกแต่งหน้าเครื่องดื่มด้วยเมล็ดกาแฟ 3 เมล็ดที่มีความหมายถึงสุขภาพ โชคลาภ และเงินทอง ส่วน Irish Coffee (320 บาท) ที่รสชาติหนักหน่อยใช้ส่วนผสมเป็นน้ำเชื่อมวานิลลาที่สามารถเลือกความหวานได้ ไอริชวิสกี้ แล้วก็กาแฟฟิลเตอร์ที่ทางร้านแนะนำให้เลือกเมล็ดที่มีคาแรกเตอร์ออกไปทาง Fermented และความโดดเด่นของแก้วนี้คือกาแฟร้อนด้านล่างที่ตัดกับรสชาติของครีมเชกด้านบนที่เย็นฉ่ำ
Dana (170 บาท)
Zuri (170 บาท) และ Joy (170 บาท)
Abby (170 บาท)
มาลองดู Seasonal Menu ของทางร้านที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในทุก 3 เดือน สำหรับช่วงนี้จะได้เจอกับ 4 เมนูกาแฟโคลด์บรูว์จากเมล็ด Ethiopia Limu Wolenso Natural Process ที่มีเทสต์โน้ตออกทางมะนาว พีช และดอกไม้ แต่ละแก้วเพิ่มกิมมิกด้วยน้ำเชื่อมผลไม้ทำเองของทางร้าน เริ่มจาก Joy (170 บาท) ที่ตั้งชื่อตามคุณแม่ของแพท แก้วนี้มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมสตรอว์เบอร์รีและแก้วมังกรอบแห้ง ได้รสชาติหวานหอมกำลังดี ส่วน Dana (170 บาท) เมื่อมีแก้วที่ตั้งชื่อตามคุณแม่ของแพทแล้ว แก้วนี้ก็เป็นแก้วที่ตั้งชื่อตามคุณแม่ของแกเบรียลนั่นเอง มีส่วนผสมของโทนิก น้ำเชื่อมตะไคร้ ลาเวนเดอร์ และเลมอน ท็อปด้วยส้มแห้ง เป็นแก้วที่สดชื่นที่สุดในกลุ่ม มาที่ Zuri (170 บาท) ที่หวานกำลังดีด้วยน้ำเชื่อมมะตูม และตัดด้วยความเปรี้ยวจากกีวีพูเร่ และสุดท้ายคือ Abby (170 บาท) ที่ตั้งชื่อตามตัวละครจากเกม The Last of Us เพราะเป็นแก้วที่มีรสชาติแรง แข็งแกร่งเหมือนกับตัวละครในเกม และเป็นแก้วที่รสชาติแตกต่างที่สุดด้วยกล้วยหมักและโฟมกระเจี๊ยบ
บรรยากาศร้าน
Not Your Regular Filter Coffee (200-350 บาท)
ลองย้ายฝั่งมานั่งที่บาร์กันบ้าง บริเวณบาร์จะเป็นที่สำหรับทำ Not Your Regular Filter Coffee ที่ทางร้านจะมีเมล็ดกาแฟให้เลือก 6 ชนิด หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละชนิดจะคั่วออกมาในปริมาณน้อย เมล็ดกาแฟแต่ละชนิดนั้นล้วนเป็นเมล็ดกาแฟที่คัดสรรมาอย่างดี และมีบางชนิดที่ต้องเก็บในตู้แช่ควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ -18 องศาเซลเซียสเพื่อรักษารสชาติเอาไว้ให้ดีที่สุด ในวันที่ทีมงานเข้าไป ทางร้านมี Finca Carmen Panama Geisha (350 บาท) และ Rumudamo Ethiopia 74110 (350 บาท) ที่ได้รางวัล Cup of Excellence 2020 Rank 3 ที่ต้องเก็บอยู่ในตู้แช่ นอกจากนี้ก็มี Ninety Plus Perci Panama Geisha (300 บาท) El Rinconcito La Joya Mexico Bourbon Typica (250 บาท) ที่ใช้วิธีโปรเซสแบบ Anaerobic Natural ที่เป็นการหมักของกาแฟที่เกิดจากการอยู่ในถุงสุญญากาศกว่า 160 ชั่วโมง Un Regalo de Dios Nicaragua Pacamara (200 บาท) และ Santa Monica Buenos Aires Colombia Castillo (200 บาท) ที่ใช้การหมักในถังไวน์ขาว ทำให้ได้รสชาติที่ออกแนวหมักและหอมกลิ่นไวน์ ส่วนอุปกรณ์สำหรับดริปที่นี่เป็นรูปทรงเพชรที่ดูแปลกตา ด้วยเหตุผลที่ว่าอุปกรณ์แบบพิเศษนี้สามารถคุมอุณหภูมิไม่ให้ลดลงเร็วจนเกินไป ลวดลายด้านในจะมีสองแบบ ลวดลายแนวนอนที่ทำให้น้ำไหลช้าลง และลวดลายแนวดิ่งที่ทำให้น้ำไหลเร็วขึ้น ทำให้การไหลของน้ำนั้นพอดีกัน
PAGA เป็นร้านที่เหมาะกับคนรักกาแฟตัวจริง ถ้าคุณมีความสนใจในเมนูกาแฟหรือเมล็ดกาแฟ ก็ควรมาหาประสบการณ์จากร้านนี้ดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเมนู Milk & Coffee หรือ Seasonal หรือ Coffee & Spirits แม้กระทั่ง Not Your Regular Filter Coffee ก็จะเปิดประสบการณ์ใหม่ของการดื่มกาแฟให้คุณได้อย่างแน่นอน
Open: ทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
Address: ซอยสุขุมวิท 31 กรุงเทพฯ
Budget: 200-400 บาท
Contact: 08 8016 1686
Website: https://www.facebook.com/pagacoffeebkk/
Map:
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์