×

Our Planet สายใยธรรมชาติที่ค่อยๆ ขาดจากกัน และเราอาจไม่มีสารคดีสัตว์โลกน่ารักให้ดูอีกต่อไป

09.12.2019
  • LOADING...
Our Planet

“สิ่งที่เราทำใน 20 ปีข้างหน้าจะตัดสินอนาคตของทุกชีวิตบนโลก”

 

คือประโยคสั้นๆ ใน Our Planet สารคดีจาก Netflix ที่อธิบายถึงปัญหาน่าเป็นห่วงในระยะยาว ย้ำให้เรารู้ว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญได้เข้าขั้น ‘วิกฤต’ แล้วจริงๆ 

 

โลกส่งสัญญาณที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ออกมาเตือนมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง เช่น ข่าวโอคโยคุลล์ ธารน้ำแข็งแห่งแรกในไอซ์แลนด์ที่ละลายจนหมด เหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ของป่าแอมะซอน สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปอดของโลก และการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านภูมิอากาศของนักวิทยาศาสตร์จาก 153 ประเทศ ฯลฯ 

 

หากเป็นเมื่อก่อน หลายคนชอบดูสารคดีสัตว์หรือธรรมชาติเพราะอยากเห็นความงดงามและความน่ารักที่ทำให้เรามีความสุข แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป และมนุษย์ไม่ได้ทำตัว ‘น่ารัก’ กับธรรมชาติและสัตว์ป่าเหล่านั้นเท่าที่ควร 

 

สิ่งที่สารคดี Our Planet นำเสนอจึงกลายเป็นภาพความน่ารักที่แฝงมากับ ‘ความจริง’ ที่ทั้งน่ากลัวและน่าเศร้าที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของพวกเราทุกคน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีสารคดีสัตว์โลกน่ารักให้ดูอีกต่อไป 

 

Our Planet

 

ในช่วงแรกของ Our Planet จะพาเราไปทำความรู้จักวัฏจักรของธรรมชาติ ตั้งแต่ท้องทะเลก่อให้เกิดเมฆฝน ฝนตกลงบนผืนทรายกลายเป็นสายน้ำ สายน้ำก็ก่อให้เกิดผืนป่าและที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต 

 

จากนั้นเนื้อหาจะถูกแบ่งออกเป็น 7 ตอนเพื่อขยายภาพของ 7 พื้นที่ทั่วโลก ได้แก่ ดินแดนน้ำแข็งขั้วโลก, ป่าเขา, ป่าดิบชื้น, ทะเลชายฝั่ง, ทะเลหลวง, ทะเลทรายและทุ่งหญ้า และแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นเพียงแค่จุดกำเนิด แต่เหมือนกับถูกสารคดีพาเราไปสำรวจ ‘จุดจบ’ ถ้าหากสถานการณ์ยังเลวร้ายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ 

 

การรวมตัวของวอลรัสนับแสนที่มาพักผ่อนบนชายหาดแทนน้ำแข็งทะเลที่ละลายหายไปจากภาวะโลกร้อน (มองผ่านๆ เหมือนน่ารัก แต่ดูแล้วเศร้าสุดๆ), การประมงที่ไม่ยั่งยืน ส่งผลให้แหล่งหาอาหารตามฤดูกาลของสัตว์ทะเลเปลี่ยนแปลง, การปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการควบคุมกำลังทำลายที่อยู่อาศัยของลิงอุรังอุตังและสัตว์ป่าหลายชนิดจนใกล้สูญพันธุ์ ฯลฯ

 

Our Planet

 

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง Our Planet ได้ตั้งคำถามสำคัญที่ว่า ท้ายที่สุดแล้วโลกนี้เป็นของใครกันแน่ คำว่า ‘พวกเรา’ ที่พูดกันอยู่หมายความถึงทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์นี้เหมือนกัน 

 

หรือหมายความเฉพาะ ‘มนุษย์’ ที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ อยู่เหนือทุกอย่าง กอบโกยผลประโยชน์เพื่อความสุขสบาย สุดท้ายต้องกลายเป็นสัตว์น้อยใหญ่ต้องมารับผลกรรมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

 

นอกจากเนื้อหา ภาพถ่ายทรงพลังที่ทีมงาน Silverback Films ใช้เวลาร่วม 4 ปีในการออกเดินทางมากกว่า 60 ประเทศทั่วทุกมุมโลก อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Our Planet ตรึงใจคนดูได้อยู่หมัดคือเพลงประกอบที่ช่วยสร้างอารมณ์และความรู้สึกในแต่ละฉากเหมือนดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เช่น ฉากการล่าปลาแอนโชวีของนกบูบีกลางทะเลที่มาพร้อมเพลงประกอบเร้าใจเหมือนอยู่ในภาพยนตร์สงคราม 

 

ซึ่งทุกบทเพลงถูกสร้างสรรค์โดย สตีเวน ไพรซ์ ผู้ที่เคยฝากผลงานเพลงไว้ในภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง เช่น Suicide Squad (2016), Baby Driver (2017) และ Gravity (2013) ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ

 

Our Planet

 

ถ้าหากภาพยนตร์หลากสาขามีหน้าที่ในการสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ทันทีที่ดู Our Planet จบลง เราก็รู้ได้ทันทีว่าหน้าที่ของสารคดีเรื่องนี้ไม่ใช่การสร้างภาพโรแมนติกชวนฝัน แต่เป็นการปลุกให้เราตื่นขึ้นมารับรู้ความจริง 

 

ให้เห็นถึง ‘สายใย’ ธรรมชาติที่เชื่อมโยงทั้งผืนป่า ท้องทะเล และสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกเข้าด้วยกัน ถึงแม้วันนี้เราจะยังไม่ทันรู้สึกถึงภาวะโลกร้อนแบบชัดๆ เพราะบรรดาสัตว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาติกำลังรับผลกระทบนั้นแทนพวกเราอยู่ 

 

และถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ใช่แค่ ‘ตัวเรา’ หรือสัตว์ป่า แต่ยังหมายถึงลูกหลานและเยาวชนยุคต่อไปที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางภาวะโลกร้อนแบบเต็มตัว 

 

และเมื่อถึงวันนั้น พวกเขาอาจจะไม่หลงเหลือสารคดีสัตว์โลกชวนฝันที่สร้างรอยยิ้มให้ทุกครั้งที่ได้ดู มีเพียงสารคดีแห่ง ‘ความจริง’ ที่ตอกย้ำว่าคนรุ่นก่อนได้ทำร้ายและทิ้ง ‘โลก’ ที่มีสภาพแวดล้อมแบบไหนเอาไว้ให้พวกเขาเผชิญ 

 

Our Planet

 

ภาพ: www.worldwildlife.org/pages/our-planet

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising