×

Mission: Impossible – The Final Reckoning ปฏิบัติการมอบความบันเทิงครั้งสุดท้ายอย่างสมศักดิ์ศรี

21.05.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MIN READ
  • Mission: Impossible – The Final Reckoning ผลงานปิดตำนานของแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์จาก Tom Cruise ที่ยืนหยัดมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมายาวนานร่วม 30 ปี โดยคราวนี้ยังคงได้ Christopher McQuarrie กลับมานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วยทัพนักแสดง นำโดย Ving Rhames, Simon Pegg, Hayley Atwell, Pom Klementieff, Greg Tarzan Davis, Henry Czerny, Shea Whigham และ Angela Bassett
  • ไฮไลต์สำคัญที่เราไม่กล่าวถึงไม่ได้คือฉากแอ็กชันที่ Tom Cruise และทีมสร้างเตรียมมาเสิร์ฟให้กับผู้ชมแบบไม่ยั้ง ทั้งฉากต่อยตีแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ฉากต่อสู้ตะลุมบอน ไปจนถึงฉากเสี่ยงตายของ Ethan ถึงสองฉากที่ถูกยกระดับให้ยิ่งใหญ่และลุ้นระทึกมากขึ้นกว่าทุกภาคที่ผ่านมา
  • สำหรับผู้เขียน Mission: Impossible – The Final Reckoning อาจยังมีข้อสังเกตที่ทำให้เราแอบเสียดายอยู่บ้าง แต่หากเราถอยมามองภาพรวมทั้งหมดของแฟรนไชส์ Mission: Impossible แล้ว Tom Cruise และทีมงานของพวกเขาก็สมควรได้รับการยื่นขึ้นปรบมือแทนคำขอบคุณที่มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมผ่านจอภาพยนตร์มายาวนานร่วม 30 ปี

Mission: Impossible – The Final Reckoning ผลงานปิดตำนานของแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์จาก Tom Cruise ที่ยืนหยัดมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมายาวนานร่วม 30 ปี โดยคราวนี้ยังคงได้ Christopher McQuarrie ที่อยู่คู่กับแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ภาค Rogue Nation (2015) กลับมานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วยทัพนักแสดงที่มาสานต่อภารกิจ นำโดย Ving Rhames, Simon Pegg, Hayley Atwell, Pom Klementieff, Greg Tarzan Davis, Henry Czerny, Shea Whigham และ Angela Bassett

 

ภารกิจครั้งนี้จะต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในภาค Dead Reckoning (2023) เมื่อ Ethan Hunt (Tom Cruise) สามารถแย่งชิงกุญแจที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการหยุดยั้ง AI อัจฉริยะอย่าง The Entity มาได้สำเร็จ แต่ขณะเดียวกัน The Entity ก็กำลังแฮ็กระบบของประเทศมหาอำนาจเพื่อเข้าควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลก Ethan และทีมจึงต้องออกค้นหาเรือดำน้ำรัสเซียชื่อ Sevastopol เพื่อนำอุปกรณ์ในการปิดระบบของ The Entity มาให้สำเร็จภายในเวลา 72 ชั่วโมงก่อนที่โลกจะถูกทำลาย

 

 

แม้ว่าแฟรนไชส์ Mission: Impossible จะเป็นการดัดแปลงจากซีรีส์สายลับทางโทรทัศน์ยอดฮิตที่ออกฉายในช่วงปี 1966-1973 ก่อนถูกนำมาสร้างต่ออีกครั้งในปี 1988 รวมทั้งหมด 9 ซีซัน 

 

แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า ณ ปัจจุบันเมื่อพูดถึง Mission: Impossible ภาพของ Tom Cruise ที่กำลังออกวิ่งอย่างสุดกำลังและฉากแอ็กชันสุดโลดโผนจะต้องผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรก อีกทั้งด้วยระยะเวลาของแฟรนไชส์ชุดนี้ที่ดำเนินมายาวนานกว่า 30 ปี (ภาคแรกออกฉายในปี 1996) ก็น่าจะต้องมีผู้ชมหลายคนที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์ชุดนี้อยู่ไม่มากก็น้อย 

 

พอตัวอย่างของ The Final Reckoning ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับประโยคสำคัญของ Ethan Hunt ที่บอกว่า “ผมขอให้คุณเชื่อผม เป็นครั้งสุดท้าย” ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกใจหายไม่น้อยการปฏิบัติภารกิจของ Ethan และทีมของเขาที่เราติดตามมาตั้งแต่ยังเด็กอาจจะกำลังสิ้นสุดลงในภาคนี้ ขณะเดียวกันประโยคดังกล่าวก็อาจเป็นข้อความที่ Tom Cruise อยากส่งถึงผู้ชมให้เชื่อใจว่าภารกิจส่งมอบความบันเทิงครั้งนี้เขาและทีมงานจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน 

 

และสำหรับผู้เขียน The Final Reckoning ถือเป็นภารกิจสุดท้ายที่อัดแน่นไปด้วยความบันเทิงที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘โคตรมันส์’ แต่ก็ยังมีข้อสังเกตให้เรากล่าวถึงเช่นกัน 

 

 

ย้อนกลับไปในภาค Dead Reckoning จุดเด่นอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบคือการนำเสนอความเก่งกาจของตัวร้ายอย่าง The Entity ที่น่าสนใจมากๆ ทั้งการชักใยให้ทุกคนเดินตามหมากที่ตัวเองวางไว้ หรือการคาดเดาอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ จนทำให้เรารู้สึกว่า The Entity เป็นตัวร้ายสุดอันตรายจนนึกภาพไม่ออกว่า Ethan จะต่อกรกับมันอย่างไร

 

แต่สำหรับ The Final Reckoning ผู้กำกับและทีมสร้างกลับไม่ได้นำเสนอความฉลาดหลักแหลมของ The Entity ในการต่อสู้กับ Ethan มากเท่ากับภาคก่อน แต่เลือกนำเสนอให้เราเห็นว่าตอนนี้ The Entity กลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกขนาดไหนผ่านบทสนทนาของเหล่าผู้นำที่เฝ้าระวัง The Entity ที่กำลังเข้าควบคุมระบบของประเทศต่างๆ ซึ่งหากมองในมุมเนื้อเรื่องก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะหากภาคนี้คือการปิดตำนานของ Ethan แล้ว ภัยคุกคามครั้งนี้ก็ต้องยิ่งใหญ่และมีเดิมพันสูงกว่าภาคอื่นๆ แต่สำหรับผู้เขียนการนำเสนอในทางนี้แอบส่งผลให้ The Entity กลายเป็นตัวร้ายที่ไม่มีชั้นเชิงเท่าไรนักเมื่อเทียบกับภาค Dead Reckoning  

 

นอกจากนี้จุดยืนที่เปลี่ยนไปของ Gabriel (Esai Morales) จากเดิมที่เขาเป็นเหมือนมือขวาของ The Entity แต่ในภาคนี้เขากลับพยายามจะเข้าควบคุม The Entity เสียเอง ซึ่งผู้เขียนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจุดยืนของ Gabriel ทำให้ความน่าสนใจของทั้ง Gabriel และ The Entity ลดลงไปพร้อมกัน เพราะในภาคอื่นๆ ตัวร้ายทุกตัวต่างก็เป็นมนุษย์และมีเป้าหมายที่คล้ายกัน แต่ Gabriel คือมนุษย์ที่เชื่อมั่นและพร้อมจะทำตามทุกอย่างเพื่อให้ The Entity ได้รับชัยชนะ ดังนั้นการคงอยู่ของ Gabriel จึงช่วยเสริมให้ The Entity และตัวเขาเองเป็นตัวร้ายของ Mission: Impossible ที่โดดเด่นกว่าภาคอื่นๆ เราจึงแอบเสียดายที่เรื่องราวของ Gabriel และ The Entity ไม่ได้ถูกนำมาต่อยอดมากกว่านี้

 

 

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตในแง่เสน่ห์ของตัวร้ายที่ลดลงก็ถูกเสริมด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมากขึ้นกับการหยิบเหตุการณ์สำคัญในภาคเก่าๆ มาเชื่อมโยงเข้ากับภาคนี้ ทั้งเหตุการณ์ใน Mission: Impossible III (2006) ที่เราจะได้รู้ว่า ‘ตีนกระต่าย’ ที่ Ethan พยายามออกตามหาเพื่อช่วยภรรยาคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร หรือการนำตัวละคร William Donloe (Rolf Saxon) ที่ในภาคแรกเขาเป็นตัวละครสมทบที่ปรากฏตัวเพียงฉากเดียวเท่านั้น แต่ในภาคนี้ผู้กำกับและทีมสร้างได้ขยายบทบาทของเขาให้มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากขึ้น มีมิติทางความรู้สึกมากขึ้น เพื่อให้ทุกเหตุการณ์เชื่อมโยงถึงกันอย่างสมเหตุสมผล 

 

ซึ่งนอกจากการหยิบเหตุการณ์สำคัญจากภาคเก่ามาเชื่อมโยงกันจะเป็นการชวนให้ผู้ชมได้ย้อนรำลึกถึงการเดินทางตลอด 30 ปีของแฟรนไชส์ Mission: Impossible แล้ว สิ่งนี้ยังช่วยผลักดันให้ประเด็นสำคัญของเรื่องอย่าง “ทุกการตัดสินใจของเรา ล้วนพาให้เรากลายเป็นเราในปัจจุบัน” ที่ผู้กำกับและทีมสร้างต้องการนำเสนอมีความชัดเจนและแข็งมากขึ้นไปพร้อมกัน 

 

อีกหนึ่งจุดเด่นในภาคนี้ที่ผู้กำกับและทีมสร้างค่อนข้างให้ความสำคัญคือการนำเสนอความสัมพันธ์และมวลความรู้สึกที่แต่ละตัวละครมีต่อกันมากขึ้น ทั้งมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่าง Ethan, Benji (Simon Pegg) และ Luther (Ving Rhames) ที่ร่วมปฏิบัติการปกป้องโลกกันมาอย่างยาวนานที่ทั้งประทับใจและแอบใจหายที่เราอาจได้เห็นพวกเขาทำภารกิจร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หรือจะเป็นการช่วยเหลือกันของสมาชิกใหม่อย่าง Paris (Pom Klementieff) และ Degas (Greg Tarzan Davis) เองก็เสริมให้ทีมจารชนทีมนี้มีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน 

 

 

ส่วนไฮไลต์สำคัญที่เราไม่กล่าวถึงไม่ได้คือฉากแอ็กชันที่ Tom Cruise และทีมสร้างเตรียมมาเสิร์ฟให้กับผู้ชมแบบไม่ยั้ง ทั้งฉากต่อยตีแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ฉากต่อสู้ตะลุมบอน ไปจนถึงฉากเสี่ยงตายของ Ethan ถึงสองฉากที่ถูกยกระดับให้ยิ่งใหญ่และลุ้นระทึกมากขึ้นกว่าทุกภาคที่ผ่านมา 

 

ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบฉากเรือดำน้ำเป็นพิเศษ แม้เราจะรู้อยู่แล้วว่ายังไง Ethan ก็จะสามารถหาทางรอดมาได้สำเร็จ แต่ผู้กำกับและทีมสร้างก็ออกแบบและเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาได้ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ก้าวแรกที่ Ethan กระโดดลงสู่ทะเลลึก การต้องหาทางเข้าไปยังห้องนิรภัยในพื้นที่คับแคบ ไปจนถึงการหาทางออกจากเรือดำน้ำให้ทันเวลา ทุกช่วงล้วนสร้างความลุ้นระทึกและหวาดกลัวแบบไม่ให้พักหายใจจนเราไม่อาจละสายตาไปจากหน้าจอได้เลย ซึ่งเราเชื่อว่าฉากเรือดำน้ำฉากนี้จะเป็นอีกหนึ่งฉากสุดระทึกจาก Mission: Impossible ที่จะประทับอยู่ในใจของผู้ชมไปอีกนานอย่างแน่นอน

 

รวมไปถึงจังหวะการเล่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยชั้นเชิง ทั้งการตัดสลับไปมาระหว่างสองเหตุการณ์ที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี มุกตลกขบขันต่างๆ ที่ถูกใส่มาอย่างพอเหมาะเพื่อคลายความตึงเครียดของเรื่องราว ไปจนถึงดนตรีประกอบสุดยิ่งใหญ่จากปลายปากกาของ Max Aruj และ Alfie Godfrey ที่ช่วยตีบวกให้ฉากแอ็กชันตื่นตาตื่นใจมากขึ้น 

 

 

ในภาพรวมแล้วสำหรับผู้เขียน Mission: Impossible – The Final Reckoning อาจยังมีข้อสังเกตที่ทำให้เราแอบเสียดายอยู่บ้าง แต่หากเราถอยมามองภาพรวมทั้งหมดของแฟรนไชส์ Mission: Impossible แล้ว Tom Cruise และทีมงานของพวกเขาก็สมควรได้รับการยืนขึ้นปรบมือแทนคำขอบคุณที่มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมผ่านจอภาพยนตร์มายาวนานร่วม 30 ปี พร้อมกล่าวลากันด้วยประโยคที่ทุกคนคุ้นเคยว่า 

 

“โชคดีนะ Ethan ความสนุกสนานที่คุณมอบให้ผ่านแฟรนไชส์ชุดนี้จะไม่ถูกทำลายอย่างแน่นอน”

 

Mission: Impossible – The Final Reckoning เข้าฉายแล้วในโรงภาพยนตร์

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: www.youtube.com/watch?v=4yerkuIQBNs

 

 

ภาพ: Paramount Pictures 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising