ภาพล้อการเมือง ‘แมลงวันสยามติดกับดักใยแมงมุมอังกฤษ’ เป็นภาพโปสต์การ์ดหายากของฝรั่งเศส พิมพ์เมื่อปี 1902 (พ.ศ. 2445) แสดงพระพักตร์ของกษัตริย์ เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ของอังกฤษ เป็นแมงมุมยักษ์ชักใยล่อแมลงวันให้มาติดกับดักของตน โดยมีแมลงวันสยาม (เลข 5) เป็นเหยื่อติดอยู่ด้วย
กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ สืบทอดนโยบายไล่ล่าอาณานิคมจากรัชกาลก่อน เพื่อขยายและรักษาฐานเมืองขึ้นที่มีอยู่ทั่วโลก ดังที่อังกฤษได้รับการขนานนามว่า เป็นดินแดนที่ ‘พระอาทิตย์ไม่ตกดิน’
หลังจากอังกฤษครองอินเดียแล้วได้เข้ายึดพม่าและมลายูอย่างย่ามใจ ขณะที่ฝรั่งเศสเข้าครองญวน เขมร และมุ่งหน้ายึดลาว โดยเล็งเห็นว่า สยามเป็นอาหารอันโอชะที่จะแย่งกันยึดครองเป็นลำดับต่อไป
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงตระหนักถึงมหันตภัยคุกคามของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ที่ทำสงครามรูปแบบใหม่ โดยใช้สนธิสัญญาเรือปืน แปลว่าถ้าคุยกันไม่เป็นผล ตกลงกันไม่ได้ ก็จะเอาเรือปืนเข้ายึดครองประเทศ พระองค์ทรงแต่งสำเภาไปค้าขายกับจีน จึงทรงสะสมกำไรไว้ในถุงแดงถึง 40,000 ชั่ง ทรงกำหนดให้ใช้ 10,000 ชั่ง เพื่อบำรุงพระศาสนา และ 30,000 ชั่ง ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อ ‘เอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง’
ขณะทรงประชวรนั้นเองทรงเตือนว่า “การศึกข้างญวน ข้างพม่า เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้”
และแล้วหายนะภัยจากนักล่าอาณานิคมก็เป็นไปตามที่รัชกาลที่ 3 ทรงคาดหมาย อังกฤษหวังยึดครองไทยทางใต้โดยผ่านมลายู ซึ่งเป็นของอังกฤษอยู่แล้วในเวลานั้น
ทางภาคใต้: ประวัติศาสตร์สืบค้น บอกว่าเมื่อ 114 ปีล่วงมาแล้ว ชาวเลชื่อ โต๊ะฆีรี กับเพื่อน 5-6 คน ล่องเรือจากเกาะอาเจะห์ อินโดนีเซีย มาสู่ทะเลอันดามัน แล้วเลือกปักหลักอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ โดยพบว่าที่เกาะนี้มีน้ำจืดใต้ดินจึงเหมาะแก่การอยู่อาศัย โต๊ะฆีรีมาขึ้นบกที่จังหวัดสตูลในปี 2452
พลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี และ พล.อ. สุรินทร์ พิกุลทอง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านที่ดินและกลุ่มชาติพันธุ์ให้ข้อมูลตรงกันว่า ‘ด้วยวิเทโศบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้สมุหเทศาภิบาลอพยพชาวอูรักลาโว้ย ที่อาศัยอยู่ ณ เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยจัดชาวเลจำนวนหนึ่งย้ายไปตั้งรกรากอยู่บนเกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง และเกาะราวี’
ขณะที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งครอบครองแหลมมลายูในเวลานั้น กำลังสำรวจเกาะแก่งในทะเลอันดามัน เพื่อจะปักหมุดหมายควบรวมเกาะหลีเป๊ะเข้ากับแหลมมลายูนั้น ชาวเลอูรักลาโว้ยพร้อมใจกันพูดว่า ‘เป็นชาวสยาม’ นี่คือคำประกาศศักดิ์ศรีของชาวสยาม ที่ทำให้เกาะหลีเป๊ะมีอิสรภาพเหนือการยึดครองของอาณานิคมอังกฤษนับแต่นั้นมา*
ในขณะที่ทางเหนือ โดยเฉพาะอาณาจักรล้านนานั้น อังกฤษหวังยึดครองสยามโดยมีพม่าเป็นตัวแทน
สมัยรัชกาลที่ 5 “รัฐสยามขยายอำนาจไปสู่ล้านนาอย่างจริงจัง มีการส่งข้าหลวงไปกำกับราชการ จัดเก็บภาษีเข้าส่วนกลาง ไม่ให้เจ้านายล้านนาเก็บภาษีอีกต่อไป มีการทำแผนที่กำหนดเขตแดนชัดเจน มีสำรวจสำมะโนครัวว่าใครอยู่ในบังคับสยาม ใครอยู่ในบังคับอังกฤษ มีการวางรากฐานการศึกษาและคณะสงฆ์แบบกรุงเทพฯ พัฒนาการขนส่งและคมนาคม รัฐสยามเข้าไปทำสัมปทานป่าไม้อย่างเป็นทางการเก็บภาษีได้มาก และปันเงินให้เจ้านายล้านนามากตามไปด้วย รัฐสยามกับชาวล้านนาโยงใยกลายเป็นกลุ่มชนเดียวกันด้วยวิเทโศบายสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่นั้นมา”**
ท่ามกลางการคุกคามรุกล้ำของอังกฤษ ผ่านพม่าคืบมาสู่สยาม นอกจากรัชกาลที่ 5 จะเสด็จไปสร้างไมตรีกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย เพื่อถ่วงดุลกับชาติมหาอำนาจทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ทรงผนวกอาณาจักรล้านนาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐสยามอย่างแยบยล หาไม่แล้วล้านนาและเชียงใหม่จะกลายเป็นแดนดินชนกลุ่มน้อยของพม่า ซึ่งในวันนี้มีสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด หาความสงบสุขไม่ได้เลย
ส่วนภาคตะวันออก อีสาน และพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งรวมอยู่ในอาณาจักรของสยามในเวลานั้น รัฐสยามต้องเผชิญกับวิกฤต ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญใน พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ฝรั่งเศสนำเรือรบเข้ามาจอดหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ริมน้ำเจ้าพระยา ทั้งเจรจาและข่มขู่ให้สยามยอมรับเขตแดนญวนและบริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ถึงขั้นเอาเรือปืนมาปิดปากอ่าวไทย
ฝรั่งเศสบังคับให้สยามตอบตกลงตามต้องการภายใน 48 ชั่วโมง ผลการเจรจาทำให้ในปีนั้น สยามเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดตามสัญญาข้อ 1 และห้ามสยามมีเรือรบ ตามสัญญาข้อ 2 สยามต้องเสียดินแดนราว 143,000 ตารางกิโลเมตร พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงตรอมพระทัย ไม่ยอมเสวยพระโอสถ ทรงมีพระราชนิพนธ์บทกวีไว้ว่า
เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย
ส่วนจิตต์มิสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง
แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา
กลัวเป็นทวิราช บตริป้องอยุธยา
เสียเมืองจะนินทา บละเว้นฤว่างวาย
คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็บพบซึ่งเงื่อนสาย
สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดและเลยสูญ ฯ
ในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระราชนิพนธ์บทกวีให้กำลังพระทัยพระพุทธเจ้าหลวงไว้ว่า
ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย
พระจิตพระวรกาย จงผ่องพ้นที่หม่นหมอง
ขอจงสำเร็จรา ชะประสงค์ที่ทรงปอง
ปกข้าฝ่าละออง พระบาทให้สามัคคี
ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะวิบัติเพราะขันตี
จงคลายเหมือนหลายปีจะ ลืมเลิกละลายสูญ
ขอจงพระชนมา ยุสถาวรพูน
เพิ่มเกียรติอนุกุล สยามรัฐพิพัฒน์ผล ฯ
เพื่อไม่ให้ฝรั่งดูถูกได้ว่าสยามเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไม่มีอารยธรรม พระพุทธเจ้าหลวงทรงเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงประเทศขนานใหญ่ในทุกด้านไปสู่ความทันสมัย สร้างรถไฟ สร้างรถราง ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ขุดคูคลองเพื่อการสัญจรทางน้ำ สร้างถนน สร้างอาคารด้วยซีเมนต์ สร้างโรงเรียน จัดการศึกษาสมัยใหม่ เตรียมสู่การเป็นมหาวิทยาลัย จัดการปกครองในรูปเทศาภิบาล สร้างระบบไปรษณีย์ โทรเลข จ้างครูต่างประเทศมาสอนภาษา ทรงเลิกทาส ทรงให้เลิกการหมอบกราบ ทรงส่งพระบรมวงศานุวงศ์ไปศึกษาต่างประเทศ เพื่อกลับมารับใช้ชาติ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เป็นพระปรีชาญาณเป็นไปเพื่อปฏิรูปประเทศแบบยกเครื่องใหญ่ ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่อารยประเทศ
ต่อมาอังกฤษและฝรั่งเศสที่หมายจะยึดครองสยาม พระพุทธเจ้าหลวงยังทรงดำเนินยุทธศาสตร์กันชนอย่างเผชิญหน้า ด้วยการเสด็จเยือนราชสำนักต่างๆ ในรัสเซีย อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ในปี พ.ศ. 2440 และ พ.ศ. 2450 ทรงได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และจากพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ
การเดินหมากป้องกันตนเองอย่างรู้เท่าทันเล่ห์ของเจ้าอาณานิคมสร้างผลสะเทือนไปทั่วโลก ทำให้ฝรั่งเศสและอังกฤษต้องหันกลับมาตกลงกันเองท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติที่เรียกว่า ‘ความตกลงฉันมิตร’ (Entente Cordiale) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 1904 (พ.ศ. 2447) ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส
ภาพถ่ายพระพุทธเจ้าหลวงกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย
ภาพถ่ายพระองค์คล้องพระกรกับพระราชินีอังกฤษ เสด็จนำขบวนราชวงศ์อังกฤษ พร้อมกับพระราชวงศ์
สองภาพนี้ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก ทำให้สยามประเทศได้รับการยอมรับนับถือให้มีสถานะทัดเทียมเจ้าอาณานิคม ผู้ซึ่งกลับมาแสดงน้ำใจและให้เกียรติอย่างยิ่งใหญ่ต่อพระบารมีของพระมหากษัตริย์สยาม
หมายเหตุ:
- * บทความ คำประกาศหลีเป๊ะ: ‘เราเป็นชาวสยาม’ สำนักข่าวอิศรา 1 กุมภาพันธ์ 2566
- ** นิตยสารศิลปวัฒนธรรม เดือนมีนาคม 2565
ภาพ: หนังสือ ‘เกิดวังปารุสก์’สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยประชาธิปไตย, วารสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566
อ้างอิง:
- หนังสือ ‘เกิดวังปารุสก์’สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยประชาธิปไตย
- วารสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566