×

เส้นทางสู่ ‘นิการากัว’: ประเทศที่ทฤษฎีแม่สีใดๆ ก็ไร้ความหมาย

โดย
14.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • เมืองกรานาดาชวนให้ภาพของเมืองบัลปาไรโซแห่งชิลี และชิงเกว แตร์เร ของอิตาลีลอยละลิ่วเข้ามาตีกันอยู่ในจินตนาการ
  • กรานาดาเป็นเมืองที่น่าคบหา แค่มหาวิหารแห่งกรานาดาที่เดียวก็สะกดให้ยืนเพ่งกันได้นานสองนาน

     ระยะทางจากคอสตาริกา (Costa Rica) ข้ามมาหา ‘นิการากัว’ (Nicaragua) ไม่ได้ไกลหรอก แต่ที่ทำให้ระยะเวลาในการข้ามประเทศนานกว่า 7 ชั่วโมง เป็นเพราะผู้โดยสารทุกคนเสียเวลาไปอยู่ตามชายแดนของ 2 ประเทศเสียมากกว่า

     ขั้นตอนของการประทับตราออกและเข้าก็ไม่ได้ตรวจตราเยอะ แต่ที่เยอะคือขั้นตอนการชำแหละกระเป๋าของแต่ละประเทศ ที่เจ้าหน้าที่จะตรวจกันจนกว่าจะพอใจ คงเพราะยาเสพติดแถวนี้ชุกชุม เครื่องมือการตรวจด่านแรกของทุกประเทศที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดจึงเป็น ร.ต.อ. เจ้าตูบเหมือนกันหมด

     ขั้นตอนการผ่านแดนด้วยรถ Tica Bus คงจะต่างกันบ้างตามความเคร่งครัดของแต่ละประเทศ อย่างที่ชายแดนคอสตาริกา ผู้โดยสารไม่ต้องขยับก้นไปไหน แค่รวบรวมพาสปอร์ตส่งให้เด็กรถ แล้วนั่งผึ่งแอร์เย็นๆ คอยไปพลางๆ สัก 15 นาที พาสปอร์ตก็จะถูกลำเลียงส่งคืน

 

 

     “กรานาดา… กรานาดา…”(Granada) เสียงเด็กรถตะโกนขึ้นบอกผู้โดยสารที่จะลงกรานาดาให้เตรียมตัว สำหรับคนที่จะลงเมืองหลวงอย่างมานากัว (Managua) ยังต้องนั่งรถบัสต่อไปอีก เพราะกรานาดาจะถึงก่อน

     มืดๆ เปลี่ยวๆ ในอเมริกากลาง ถ้าเดินอย่างสบายใจก็คงจะโกหกกันเกินไป แถมจุดที่บัสปล่อยลง ไม่ได้มีแสงสว่างมากพอ เพราะไม่ใช่สถานี เป็นแค่จุดจอดรถริมทาง

     กรานาดายามวิกาลห่มไว้ด้วยความหวาดระแวง ยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ว่าหัวเมืองไหนในอเมริกากลางก็ไม่น่าไว้เนื้อเชื่อใจทั้งนั้น

 

 

     นี่คือเมืองโคโลเนียลเก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา กรานาดาเปรี้ยวจี๊ดกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ เมืองอะไรไม่มีที่ว่างให้สีขาวเลยให้ตายเถอะ ทฤษฎีแม่สีใดๆ ก็ไม่มีความหมายสำหรับเมืองฉูดฉาดบาดจิตแบบนี้ กรานาดาชวนให้ภาพของเมืองบัลปาไรโซ (Valparaíso) แห่งชิลี และชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) แห่งอิตาลีลอยละลิ่วเข้ามาตีกันอยู่ในจินตนาการ

 

 

     คงจะเป็นความชื่นชอบส่วนตัวของฉันที่เดินมุดเข้าออกตามตรอกซอกซอยที่เป็นบ้านของชาวเมือง ตรอกและถนนบางสายอาจจะว่างโล่ง แต่ถ้าเป็นถนนสายกลางเมืองอย่างลา ลิเบอร์ตัด (La Libertad) ที่ทอดยาวไปหาตลาดประจำเมือง ฉันแทบสะกดคำว่าเหงาไม่เป็น นอกจากจะชุลมุนไปด้วยผู้คนแล้ว รถราก็แน่นท้องถนน เดินปกติไม่ได้ ต้องคอยชายตาหลบรถยนต์ รถบัส และรถม้าอยู่ตลอดเวลา แต่กว่าจะย่างสองเท้าไปถึงตลาด ก็ใช่ว่าจะง่ายดาย เพราะในความชุลมุนบนท้องถนน ซ่อนเสน่ห์และสีสันเอาไว้ตลอดทาง

 

 

     ไมตรีของผู้คนเป็นของหาง่ายพอกับแสงแดดอันจัดจ้าน และรอยยิ้มของพวกเขาช่วยชะล้างความกลัวไปได้เยอะ อาจจะจริงอย่างที่หลายคนบอกว่ากรานาดาไม่ได้น่าหวาดระแวงอย่างที่คิด

     ใครจะว่ายังไงไม่รู้ แต่ฉันแอบบรรจุชื่อของกรานาดาเอาไว้ในลิสต์เมืองโปรดไปเรียบร้อย เหตุผลง่ายๆ เพราะเป็นคนแพ้สี เมืองไหนสีจัดจ้าน เป็นอันว่าโดนทุกทีสิน่า

     ยิ่งเดินพ่นลมหายใจในเมืองนี้ ยิ่งพบว่ากรานาดานี่เป็นเมืองที่น่าคบหาเหลือเกิน แค่มหาวิหารแห่งกรานาดาที่เดียวก็สะกดให้ฉันยืนเพ่งกันได้นานสองนาน โบสถ์สไตล์นีโอคลาสสิกแห่งนี้สร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 ก็จริง แต่ที่ดูใหม่เอี่ยมอ่องอย่างทุกวันนี้ เพราะผ่านการบูรณะมาหลายรอบ

นี่คือเมืองโคโลเนียลเก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา กรานาดาเปรี้ยวจี๊ดกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ เมืองอะไรไม่มีที่ว่างให้สีขาวเลยให้ตายเถอะ ทฤษฎีแม่สีใดๆ ก็ไม่มีความหมายสำหรับเมืองฉูดฉาดบาดจิตแบบนี้

 

     เดินละจากมหาวิหารแห่งกรานาดามาไม่ไกล เลาะเลี้ยวตามซอกซอยที่อาบไว้ด้วยสีฉ่ำๆ ยังมีโบสถ์ La Merced โบสถ์ที่เก่าแก่ยิ่งกว่ามหาวิหารซะอีก

     และเห็นท่าจะจริงที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่ได้เก่าอย่างเดียว แต่สวยคลาสสิกอีกต่างหาก โบสถ์นี้ผ่านการถูกทำลายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ถ้าช่วงเวลาหลักๆ ที่ถูกบันทึกก็น่าจะเป็นการที่ถูกพวกโจรสลัดเข้ามารุกราน มาบูรณะกันอย่างจริงจังก็เป็นช่วงกลางศตวรรษที่ 19

 

 

     เมื่อขึ้นไปบนหอคอยของโบสถ์ มองเห็นริมฝั่งทะเลสาบนิการากัวเชื่อมออกสู่ทะเลแคริบเบียนได้ และยังมองเห็นแม่น้ำซานฮวน (San Juan) ด้วย กรานาดามีเส้นทางเดินเรือสะดวกแบบนี้นี่เอง ในอดีตเลยถูกใช้ให้เป็นเมืองการค้าที่สำคัญของประเทศ

     เที่ยวกรานาดาเสร็จ ฉันก็มองหารถเช่าเพื่อไปส่งที่เมืองหลวงอย่างมานากัวจะนั่งรถบัสประจำทางไปก็ได้ ที่นี่เขามีรถประเภท Chicken Bus ที่คนท้องถิ่นใช้บริการกันแน่นคัน นักท่องเที่ยวขาลุยบางคนก็กระโดดขึ้นไปนั่งเบียดกับคนท้องถิ่นด้วย

     ฉันไม่ใช่นักเดินทางจริตดีดดิ้นที่นั่งปนกับเจ้าถิ่นไม่ได้ แต่ด้วยเวลาอันจำกัด จึงตัดสินใจมองหารถเช่าข้ามเมืองจะประหยัดเวลาได้ดีที่สุด เพราะแท็กซี่วิ่งจากกรานาดาไปมานากัวราคา 30 ดอลลาร์ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่ถ้าเป็น Chicken Bus แล้วล่ะก็ ต้องมีเกิน 2 ชั่วโมง เพราะเขาพาแวะตามเบี้ยใบ้รายทางส่งและรับคนตลอดทาง

     ความจริงนิการากัวใช้เงินสกุลคอร์โดบา 1 ดอลลาร์สหรัฐแลกได้ประมาณ 25-26 คอร์โดบา แต่ถ้าเป็นค่าแท็กซี่หรือตามร้านอาหาร เขามักจะชาร์จหรือโค้ดราคาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเลย

 

 

     แรกเห็นเมืองหลวงอย่างมานากัว ฉันคิดว่าเมืองหลวงคงไม่ใช่ต้นเหตุแห่งความเนื้อหอมของนิการากัว เพราะนักท่องเที่ยวดูบางตาเหลือเกิน แถมย่านที่พักก็ดูกระจัดกระจาย ไม่มีศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ อะไรไม่ร้ายเท่ามีคำเตือนจากพวกนักท่องโลกด้วยกันว่า อย่าไปเดินเฉียดแถวย่าน Barrio Martha Quezada และย่าน Barrio Jorge Dimitrov เป็นอันขาด เพราะแถวนี้โจรชุม ไอ้เราได้ยินแล้วก็ไม่อยากเฉียดหรอก แต่บังเอิญว่าอยู่ใกล้กับสถานีรถ Tica Bus ด้วยนี่สิ จะเลี่ยงก็ยาก

     จากปากคำที่นักท่องโลกหย่อนไว้ในโลกออนไลน์ พวกเขาบอกว่า ไม่ได้มีแค่โจรกระจอกลักวิ่งชิงปล้นเท่านั้นนะ แต่จี้ด้วยมีดกันกลางวันแสกๆ ใช้ปืนยิงยังเคยมีนักท่องเที่ยวเจอเลย เรื่องรักษาความปลอดภัยที่นี่ยังหย่อนยานอยู่

 

 

     ส่วนเรือนพักที่ฉันจับจองมา อุตส่าห์เลือกย่านที่ปลอดภัย แต่ยังดูวังเวงพิกล ท้องถนนดูเปลี่ยวร้าง จนไม่กล้าออกไปเดินเตร็ดเตร่ เจ้าของเรือนพักบอกแถวนี้ปลอดภัย นางชี้เบาะแสเส้นทางไปห้างสรรพสินค้า และช้อปปิ้งมอลล์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังเราอยู่ หรือจะไปคาสิโนแถวนี้ก็มีเยอะ นางว่ามานากัวมีชื่อเรื่องคาสิโน

     บังเอิญไม่ใช่พวกพิศวาสห้างอยู่แล้ว แถมไม่เคยมีประวัติถูกผีพนันสิง เลยเรียกแท็กซี่โบกให้ไปส่งแถวย่านกลางเมือง

     แท็กซี่วิ่งผ่านมหาวิหารแห่งใหม่ (New Cathedral) ของมานากัว โชเฟอร์แตะเบรกเบาๆ เมื่อเขาเห็นว่าสนใจในสิ่งปลูกสร้างชิ้นนี้ เขาว่าเพิ่งสร้างเสร็จได้ 10 กว่าปีมานี่เอง ฝีมือของสถาปนิกชาวเม็กซิโกมาออกแบบให้ เป็นโบสถ์คาทอลิกที่มีโดมถึง 63 โดม ลักษณะจึงละม้ายคล้ายสุเหร่ามากกว่า

คอสตาริกาอาจจะเคยเป็นหมุดหมายที่ร้อนแรงในอเมริกากลาง แต่พ.ศ. นี้นักเดินทางอินดี้ทั้งหลายปันใจให้นิการากัวกันแทบทั้งนั้น แม้แต่นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet ยังเพิ่งประกาศยกให้เป็นประเทศน่าเที่ยวเมื่อเร็วๆ นี้เอง

 

     ข่าวว่ามานากัวเพิ่งเจอแผ่นดินไหวมาได้ไม่นาน ถนนหนทางพังพินาศ แต่ถนนในเมืองหลวงที่รถกำลังเคลื่อนไปอยู่นั้นกลับเรียบกริ๊บ บางช่วงของเมืองเป็นเนินเขา ท้องถนนประดับประดาอย่างสวยงาม ไม่มีเค้าลางของเมืองน่ากลัวผุดพรายให้เห็นเลยสักนิด

     แล้วแท็กซี่ก็ปล่อยให้ลงตรงด้านข้างของมหาวิหารประจำเมืองหลังเก่า (Old Catedral de Managua) เป็นคนละเรื่องกับวิหารหลังใหม่อย่างสิ้นเชิง ที่นี่ค่อนไปทางชำรุดทรุดโทรม เพราะมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 1972 ทำให้วิหารพังพินาศ ที่เห็นเค้าโครงอยู่นี้คือที่เขาพยายามบูรณะกันแล้ว

     และที่อยู่ไม่ไกลกันเป็นพระราชวังหลวง (Palacio Nacional) ที่ปัจจุบันถูกดัดแปลงมาเป็นพิพิธภัณฑ์ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้ก็มีทั้งนิทรรศการงานแสดงศิลปะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดทั้งปี แต่ที่อยู่ประจำและเป็นไฮไลต์ประจำพิพิธภัณฑ์คือประติมากรรมเก่าแก่อายุ 2,500 ปี แต่ใครจะมานั่งเล่นแถวนี้ก็มีสวนสวยๆ แสนร่มรื่นให้นั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์กันด้วย

     แถวกลางเมืองมีลานน้ำพุที่ชาวเมืองหอบลูกจูงหลานมานั่งเล่นกันด้วย แถมเป็นเมืองริมทะเลที่มีมุมให้ผู้คนไปนั่งชิลล์กันเป็นเรื่องเป็นราว และความเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟเยอะ ที่นี่จึงมีทัวร์ประเภทเดินรอบๆ ภูเขาไฟให้ผจญภัยกันด้วย

 

 

     คอสตาริกาอาจจะเคยเป็นหมุดหมายที่ร้อนแรงในอเมริกากลาง แต่พ.ศ. นี้นักเดินทางอินดี้ทั้งหลายปันใจให้นิการากัวกันแทบทั้งนั้น แม้แต่นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet ยังเพิ่งประกาศยกให้เป็นประเทศน่าเที่ยวเมื่อเร็วๆ นี้เอง

     เล่ามาเสียเยอะ ลองออกเดินทางไปหานิการากัวดูเองเถอะ จะได้รู้ว่าประเทศอันน่าหลงใหลเป็นแบบไหน

 

Photo: กาญจนา หงษ์ทอง

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising