“ผมรู้สึกว่าผมเองก็เริ่มแก่นิดๆแล้วนะ”
คำพูดของ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ในช่วงก่อนเกมเอฟเอ คัพ กับพลีมัธ ทำให้ผมต้องกลับไปทบทวนความทรงจำอีกครั้งว่าตกลงแล้วเจ้าหนูคนนี้มันอายุเท่าไรกันแน่นะ ก่อนจะได้คำตอบว่าความจริงแล้วเขาเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น
คงเป็นเพราะเรารู้จักกันมานาน ทำให้บางครั้งก็เผลอไผลลืมไปบ้างว่าตกลงแล้วเด็กหนุ่มคนนี้เริ่มเติบโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่ดาวรุ่งอายุแค่ 17, 18 หรือ 19 เหมือนที่ติดอยู่ในความทรงจำ
แต่ในวัย 21 ปี ความจริงแล้วเอลเลียตต์ก็ยังไม่ได้แก่ตามความหมายที่เขาบอกจริงๆหรอก
ปัญหาใหญ่จริงๆคือ เขากำลังเดินทางมาถึงช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง กับการเติบโตไปอีกขั้น
ที่แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
นับตั้งแต่ย้ายมาจากฟูแลม เมื่อปี 2019 ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลพยายามเอาใจช่วยอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ระหว่างเดอะ ค็อปกับเจ้าหนูที่ดูแสบซ่าไม่เบาในช่วงแรกที่ย้ายเข้ามา (ถึงขั้นต้องไล่ลบ Digital footprint ไม่พึงประสงค์ออก) เป็นไปด้วยรักและผูกพันมาตลอด
ส่วนหนึ่งที่แฟนๆรักและเอาใจช่วยเอลเลียตต์ เป็นเพราะเขาเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับการยกย่องในเรี่องของพรสวรรค์ในการเล่นที่ไม่เป็นสองรองใครในอังกฤษ เป็นเพชรเม็ดงามที่ลิเวอร์พูลโชคดีที่ได้ตัวมาร่วมทีมในตอนนั้น
อีกส่วนเป็นเพราะเขาเป็นนักเตะที่ไม่เคยละความพยายาม ไม่ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง
และส่วนผสมสุดท้ายคือทุกคนรู้เพราะเขาก็ไม่เคยปิดว่าเขารักลิเวอร์พูลทีมนี้มาตลอดชีวิต
แต่ในเกมเอฟเอ คัพ นัดล่าสุดที่ลิเวอร์พูลพบกับพลีมัธ อาไจล์ ท่ามกลางกลุ่มนักเตะที่ถูกถล่มอย่างหนักเพราะเล่นกันไม่ได้เรื่องจนสุดท้ายทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกพ่ายต่อทีมบ๊วยของเดอะ แชมเปียนชิพ เอลเลียตต์คือคนที่ถูกวิจารณ์หนักมากที่สุด
นั่นเพราะไม่เพียงแต่จะมีส่วนกับการทำให้ทีมเสียจุดโทษในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งนำไปสู่ประตูโทนของเกมและประตูชัยของพลีมัธที่สร้างตำนานแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ประจำฤดูกาล 2024/25 ในรายการฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก เอลเลียตต์ยังเล่นได้อย่างเลวร้ายที่สุดในสีเสื้อลิเวอร์พูล
“เราควรจะขายเจ้านี่ออกไปสักที” ความเห็นหนึ่งของชาวเน็ตบอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เขาพลาดการออดิชันในเกมนี้ไปแล้ว” อีกเสียงที่ไม่รู้ว่าเห็นใจหรือไม่พอใจ
และอีกมากมาย
แต่คำถามคือมันต้องถึงขั้นนั้นจริงๆหรือ?
ในความเห็นใจต่อเอลเลียตต์ ฤดูกาลนี้เป็นอีกฤดูกาลที่เขาประสบปัญหาหนักหนาซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของอาการบาดเจ็บ
อาจจะไม่ถึงขั้นเท่ากับในฤดูกาล 2021/22 ที่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นกระดูกข้อเท้าหลุดจากตำแหน่งในเกมกับลีดส์ ยูไนเต็ดจนต้องพักการเล่นไปหลายเดือนและใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเรียกฟอร์มการเล่นเก่าๆกลับมาได้
แต่การบาดเจ็บในช่วงก่อนฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังทำความรู้จักกับเจ้านายคนใหม่ และในช่วงที่ฟอร์มการเล่นของตัวเองกำลังไต่ระดับไปสู่จุดที่ใกล้เคียงกับความคาดหวัง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันได้ทำร้ายเขาอย่างรุนแรง
จากคนที่อาร์เนอ สล็อต ชื่นชมว่าเป็นผู้เล่นที่ดีมากๆ และดูมีอนาคตกับบทบาทผู้เล่น “หมายเลข 10” ที่จะเป็นจอมสร้างสรรค์เกมให้กับลิเวอร์พูลยุคใหม่ การบาดเจ็บนี้ทำให้เอลเลียตต์ต้องพักการเล่นยาวนานเกือบ 3 เดือน
โดยที่เมื่อกลับมาได้อีกครั้งนั้น เขาไม่ต่างอะไรจากนักเรียนที่เรียนตามเพื่อนไม่ทันแล้ว
ตรงนี้เองมารวมกับเรื่องของแรงกดดันจากแรงผลักดันภายในกำลังส่งผลต่อเจ้าตัวอย่างสังเกตได้ชัดครับ
ไม่ต่างอะไรจากคนที่เคยถูกมองว่าเป็น “เด็ก” และอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่า “โตพอ” ที่จะแบกรับความรับผิดชอบและความคาดหวังของคนอื่นได้ เอลเลียตต์นับตั้งแต่หายเจ็บกลับมาดูไม่เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ผู้คนจดจำได้สักเท่าไร
เหมือนพยายามจะทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายแต่ไม่สำเร็จ
และทำให้เรื่องง่ายที่เคยทำได้ก็กลายเป็นเรื่องยากไปด้วย
มองจากใน 2 นัดล่าสุดที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมแชมเปียนส์ ลีก นัดส่งท้ายของรอบ League phase ที่พบกับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน และเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมากับพลีมัธ เอลเลียตต์สอบตกทั้งสองเกมแบบไม่มีข้อสงสัย
ทั้งๆที่ได้โอกาสออกสตาร์ทในบท “หมายเลข 10” ที่เขาต้องการ
ในขณะที่โดมินิก โซโบสไล คู่แข่งที่แม้จะมีช่วงฟอร์มหนืดและโดนวิจารณ์บ้าง แต่สามารถพิสูจน์ให้กับสล็อตได้มั่นใจว่าอย่างน้อยในเวลานี้เขาคือผู้เล่นตัวขับเคลื่อนเกมที่ดีที่สุดที่ลิเวอร์พูลมีในเวลานี้
สตาร์ชาวฮังการีได้เปรียบทุกอย่าง ทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่กว่า มีความเร็วมากกว่า ทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่ดีกว่า และมีความขยันมากกว่า
ต่อให้เป็นเกมที่แย่ของโซโบสไล เกมนั้นก็อาจจะดีกว่าเกมที่ดีของเอลเลียตต์
ตัวเล็กกว่า ขาสั้นกว่า วิ่งช้ากว่าแบบนี้เขาจะสู้อย่างไร?
“คือความสดใสของวัยรุ่น วุ่นวายก็มีในบางครั้ง”
พี่เสก โลโซ บอกเอาไว้ในบทเพลงจักรยานสีแดง เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเรื่องเดียวกัน
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องแนว Coming of age หนังอีกเรื่องที่ผมคิดถึงคือหนังเก่าเมื่อปี 2000 เรื่อง Blue Gate Crossing ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังคลาสสิกของแนวนี้
Blue Gate Crossing ว่าด้วยการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของวัยรุ่น ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องเผชิญคือเรื่องของความกลัว โดยในหนังซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ อี้จื้อเหยียน ตัวละครเอก 3 คนอย่าง หลิวเย่ว์เจิน (เหลียงชูฮุย) กับเพื่อนรัก ”สาวหน้าใส“ เมิ่งเค่อโหรว (กุ้นหลุนเหม่ย) กับ ”นายไบซิเคิล“ จางซือหาว (เฉินป๋อหลิน) ต่างต้องเจอกับช่วงเวลาของการเผชิญหน้าทางความสัมพันธ์
ระหว่างเพื่อนกับความรัก ปมคลาสสิกของชีวิตวัยรุ่นที่ไม่มีอะไรมากหรือยากกว่านั้น
สำหรับเอลเลียตต์ ในวัย 21 ปีความจริงผมยังมองว่าเขาก็เป็นนักเตะวัยรุ่น เป็นดาวรุ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางเกมลูกหนังดีนัก แต่อาจเพราะได้โอกาสและพยายามพิสูจน์ตัวเองมายาวนานหลายปีแล้ว ความรู้สึกคาดหวังที่เปลี่ยนเป็นความกดดันเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มี เจอร์เกน คล็อปป์ คนที่เป็นเหมือนพ่อคนที่ 2 ที่พร้อมโอบกอดและให้โอกาสเสมอแล้ว แต่เป็นอาร์เนอร์ สล็อต บอสใหญ่คนใหม่ที่มาพร้อมกับแนวทางใหม่และแนวทางของเขาดูเหมือนจะถูกต้อง ซึ่งเรื่องที่ยากคือแนวทางนั้นดูเหมือนเอลเลียตต์จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ใช่
มันอาจทำให้เขาเกิดความสับสนได้เหมือนกัน
ระหว่างอยู่ต่อ
หรือว่าควรจะพอแค่นี้?
โดยไม่นับเรื่องที่ว่าสล็อตและสโมสรจะคิดอย่างไรกับตัวเขาด้วย
อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวผมยังเชื่อว่าลึกๆ แล้วเอลเลียตต์ มีความเป็น ”นักสู้“ อยู่ในตัว ทุกครั้งที่เขาเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเขาจะเอาชนะมันและเติบโตขึ้นไปอีกขั้นได้เสมอ
รู้ตัวว่าวิ่งช้าก็พยายามฝึกหัดการวิ่งเองด้วยการจ้างโค้ชนักวิ่งมืออาชีพมาช่วย รู้ว่ายังเด็ดขาดไม่พอก็พยายามศึกษาจากรุ่นพี่อย่างโม ซาลาห์
ที่ผ่านมาก็ผ่านมันมาได้ทุกอย่าง
ฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ในฤดูกาลนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการบาดเจ็บนานถึงเกือบ 3 เดือนในช่วงเวลาที่มีความสำคัญมาก การจะเรียกจังหวะจะโคนและความเฉียบคมในการเล่นกลับมาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาแทบไม่ได้โอกาสในการลงสนามเลย
จากคนที่ลงเล่น 46 และ 53 นัดในฤดูกาล 2022/23 และ 2023/24 ในฤดูกาลนี้เอลเลียตต์ได้โอกาสลงเล่นแค่ 15 นัดเท่านั้น
ในจำนวนนี้เขาได้ออกสตาร์ทตัวจริงแค่ 3 นัด และส่วนใหญ่จะได้โอกาสในการลงเล่นแค่ไม่กี่นาที แม้ว่าจะทำได้ 3 ประตูก็ตาม
ขั้นต่ำที่สุดเขาคงพยายามไปจนถึงจบฤดูกาลนี้ก่อน
จากนั้นคือช่วงเวลาของความเป็นจริงที่นอกจากเจ้าตัวจะต้องประเมินตัวเอง ยังต้องดูสโมสรด้วยว่าประเมินตัวเขาไว้อย่างไร ยังอยู่ในแผนการทำทีมอนาคตหรือไม่
แต่ไม่ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าเอลเลียตต์จะเติบโตขึ้นอีกขั้น
เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะในฐานะนักฟุตบอลหรือในฐานะคนธรรมดาก็ตาม
และในฐานะคนติดตามเฝ้าดู จะคิดเห็นเช่นไรก็อย่าได้ลืมว่าเรากำลังพูดถึงเด็กอายุแค่ 21 ปีคนหนึ่งเท่านั้น
อ้างอิง: