×

10 เทรนด์การตลาดปี 2025: ปีแห่งการปรับตัวเต็มไปหมด

28.12.2024
  • LOADING...

โลกการตลาดในปี 2025 กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักการตลาดจำเป็นต้องปรับตัวและเข้าใจเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น วันนี้เรามาดู 10 เทรนด์สำคัญที่จะส่งผลต่อวงการการตลาดกัน

 

1. Marginal Crisis of Online Commerce: ค่าคอมแพงขึ้นบาน เลยต้องหาทางลด Cost

 

โลกของ Online Commerce กำลังเปลี่ยนโฉมใหม่ จากเดิมที่เน้นขายของบนแพลตฟอร์มโดยตรง กำลังปรับเป็นการใช้โซเชียล และมาร์เก็ตเพลสเป็นเพียง ‘หน้าร้าน’ เท่านั้น เพราะค่าคอมมิชชันของแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้นถึง 20% (McKinsey Digital Commerce Report 2024) ทำให้แบรนด์ต้องหันมาใช้ช่องทางของตัวเองในการปิดการขายมากขึ้น เช่น การลากเข้า LINE Official หรือ Brand.com โดยเน้นให้ราคาหรือโปรโมชันที่ถูกกว่า หรืออาจจะมี Exclusive Items เฉพาะตัว โดยเหตุการณ์นี้จะรุนแรงขึ้นในแบรนด์ใหญ่ๆ ที่แข่งขันรุนแรง และ Margin ไม่ได้สูงมาก

 

นอกจากการปรับตัวดังกล่าวจะทำให้คนหันมาสนใจ Owned Commerce มากขึ้นแล้ว การโฟกัสการลดต้นทุนยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ และเจ้าของแบรนด์ควรหันกลับมาดูโครงสร้างราคาที่เหมาะสม และเตรียมเผื่อใจไว้ว่าต้นทุนการขายออนไลน์จะสูงมากไปถึง 25-35% ของราคาขายเลยทีเดียว ดังนั้นไม่กลับมามองต้นทุนดีๆ อาจไม่รอดจริงๆ

 

2. KOF (Key Opinion Former) from KOC (Key Opinion Customer): คนที่โน้มน้าวความคิดได้จริง กลับกลายเป็นลูกค้าจริงมากกว่าอินฟลูเอ็นเซอร์

 

ยุคของการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังกำลังถึงจุดเปลี่ยน เมื่อ ROI ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับคุณภาพคอนเทนต์มากกว่ายอดผู้ติดตาม ทำให้ Micro-Influencer ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านกลับมี Engagement Rate สูงกว่า Macro-Influencer ถึง 60% และสร้าง ROI ได้สูงกว่าการใช้ดาราถึง 2-3 เท่า (Later Social Media Analytics Report 2024) แต่ข้อยกเว้นหรือหากอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังนั้นใช้ของจริงๆ ซื้อจริงๆ โดยไม่ได้โฆษณา (นั่นแปลว่าของต้องดีจริงๆ) อย่างเช่น คุณอู๋ spin9 ที่ตัดสินใจซื้อ IONIQ 5 มาขับจริง สิ่งนี้ได้อิมแพ็กต์แน่นอน 100%

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องการความจริงใจและความน่าเชื่อถือมากขึ้น คนที่มีอิทธิพลทางความคิดในยุคใหม่ๆ จึงไม่ใช่แค่คนที่มีผู้ติดตามเยอะ แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถสร้างอิทธิพลทางความคิดและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ อย่างแท้จริง คอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกกับสินค้าและความรู้ใหม่ๆ ที่ช่วยทำให้ความคิดเปลี่ยนไปมักมี Sharing Rate สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไปถึง 4 เท่า อีกทั้งเทรนด์นี้ยังส่งผลต่อ Affiliate Marketing ที่มาจากลูกค้าจริงๆ ไม่ใช่จากแคมเปญที่สร้างมาเอายอด ที่สุดท้ายจะไปคล้ายกับการทำแชร์ลูกโซ่ที่รายได้หลักไม่ได้มาจากการแนะนำสินค้า แต่ทำเป็นกระบวนการอาชีพ เช่น ไล่แปะลิงก์ไปทั่วหรือสร้าง Seeding Content ปลอมๆ ในกลุ่มเพื่อขายของติด Affiliate นั่นเอง

 

3. Deep Relationship Marketing: สร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งมากกว่าสะสมแต้ม

 

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในปี 2025 ไม่ใช่แค่โปรแกรมสะสมแต้มอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนจบ จากรายงานของ Forrester พบว่าบริษัทที่ลงทุนในประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเป็นลูกค้า มีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำเพิ่มขึ้นถึง 4-5 เท่า และลูกค้าที่มีความผูกพันกับแบรนด์จะใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 67% (Salesforce State of the Connected Customer Report 2024)

 

ดังนั้นการสร้าง Unexpected Moment หรือช่วงเวลาที่เหนือความคาดหมายกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ เช่น การจดจำสิ่งสำคัญระหว่างกันง่ายๆ อย่างเช่น คราวที่แล้วเข้ามาสอบถามอะไรกับพนักงานแล้วเราสามารถที่จะนำเสนอหรือติดต่อกลับเพื่อหาสิ่งนั้นมาให้ได้ หรือการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้าตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเอาคอมเมนต์มาปรับจริงๆ และส่งกลับไปบอกลูกค้า ซึ่งสามารถเพิ่ม Brand Advocacy ได้ถึง 45% และ 73% ของลูกค้ายินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ นั่นยิ่งทำให้การลงทุนใน CRM ที่ครบวงจรสำคัญมากขึ้นในปีหน้า (Accenture Global Customer Experience Study 2024, PwC Customer Loyalty Survey 2024)

 

4. Trust Economy: เศรษฐกิจแห่งความเชื่อใจในยุคมิจครองเมือง

 

ในยุคที่ข้อมูลเป็นทองคำ ความไว้วางใจกลายเป็นสกุลเงินใหม่ในโลกการตลาด จากรายงานของ PwC พบว่า 85% ของผู้บริโภคยินดีให้ข้อมูลมากขึ้นหากเชื่อว่าแบรนด์จะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาได้อย่างจริงจัง การทำ Consent Marketing และการจัดการข้อมูลอย่างโปร่งใสจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นโดยเฉพาะยุคมิจฉาชีพครองเมืองขนาดนี้

 

ทำให้การที่แบรนด์เล็กๆ ที่ยังไม่ใหญ่ ทำตัวให้แตกต่างจากมิจฉาชีพและสร้างความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง UX/UI ที่ Professional การตอบและให้ข้อมูลแบบไม่ทิ้งช่วง (แบรนด์ที่มี Response Time ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงมีโอกาสปิดการขายสูงกว่า 40% ข้อมูลจาก HubSpot Customer Service Statistics 2024) การทำ Consent Marketing อย่างชัดเจน ขอทุกอย่างตรงไปตรงมาและบอกเสมอว่าจะทำอะไร จะไม่ทำอะไร การสร้างความไว้วางใจจึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจนั่นเอง

 

5. Hyper Localization: ยิ่งทำตัวใกล้ยิ่งได้ผล

 

มีสถิติจาก Google Trends Analysis 2023-2024 ว่าการค้นหาแบบ ‘Near Me’ เพิ่มขึ้นมากกว่า 150% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น อีกทั้งอัลกอริทึมของทั้ง Social Media และ Search Engine ต่างปรับตัวให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ท้องถิ่นที่คนละแวกนั้นเข้าใจ ทำให้แคมเปญที่ใช้ภาษาท้องถิ่น หรือมี Insight ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นนั้นๆ Engagement สูงกว่า 78% (BrightLocal Consumer Survey 2024)

 

ดังนั้นการทำคอนเทนต์และสร้างคอมมูนิตี้ในระดับท้องถิ่น และการทำโปรโมชันที่เจาะจงกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น เทศกาลประจำถิ่น สามารถเพิ่มยอดขายได้เฉลี่ย 25% และ 67% ของผู้บริโภคชอบแบรนด์ที่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นจริงๆ ไม่ใช่แค่แสร้งเข้าใจ การทำ Hyper Localization จึงไม่ใช่แค่การแปลภาษา แต่ต้องเข้าใจจริตและรสนิยมของคนในพื้นที่อย่างลึกซึ้งมากขึ้น (Nielsen Local Consumer Behavior Report 2024)

 

6. Platform Fragmentation | Generation and Algorithm Rules: ต้องแตกต่างตามแพลตฟอร์ม

 

ข้อมูลจาก We Are Social ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของแต่ละเจเนอเรชันแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในขณะที่ Gen Z นิยม TikTok มากที่สุด กลุ่ม Millennials ยังคงอยู่กับ Instagram และ Facebook และ กลุ่ม GenX ก็เล่นแต่ LINE การใช้คอนเทนต์เดียวกันแบบ Cross-Platform จึงไม่ได้ผลอีกต่อไป โดยต้นทุนการทำคอนเทนต์แบบ Cross-Platform สูงขึ้นถึง 40%

 

อีกทั้งแต่ละแพลตฟอร์มมีกฎเกณฑ์และอัลกอริทึมเฉพาะตัว การทำตาม Platform Guidelines อย่างเคร่งครัดสามารถเพิ่ม Reach ได้ถึง 200% (Meta Business Platform Guidelines Impact Study 2024) เราต้องใส่ใจกับอัปเดต และสิ่งที่แพลตฟอร์มอยากให้ทำมากขึ้นไม่ใช่การทำแค่คอนเทนต์ธรรมดาอีกต่อไป แต่ต้องทำ Missions แต่ละวันให้ครบสมบูรณ์ (อาจดูเศร้า แต่ขอบอกว่าต้องทำตัวเป็น ‘เด็กดีไม่ดื้อ’ ของแต่ละแพลตฟอร์ม ปีหน้าถึงไปได้ดี)

 

7. Strategic Collaboration: ทำ Collab เพื่อแข่งขัน ไม่ใช่เพื่อ PR

 

การร่วมมือระหว่างแบรนด์ในปี 2025 ไม่ใช่แค่การสร้างกระแสสั้นๆ อีกต่อไป แต่ต้องนำไปสู่การเสริมข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน การคอลแลบที่มี Strategic Fit สร้าง ROI สูงกว่าแบบทั่วไป และการคอลแลบที่ประสบความสำเร็จมาจากการวิเคราะห์จุดแข็งร่วมกันอย่างละเอียดว่าเราจะทำไปทำไม? ขยายฐานลูกค้า เสริมช่องทางการขาย ทำให้ต้นทุนต่ำลง แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเติบโต?

 

ซึ่งอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ไทยกับแบรนด์ระดับโลกจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นการส่งเสริมในแง่ของกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่สอดคล้องกับเทรนด์ Hyper Localization อีกทั้งยังช่วยแบรนด์ท้องถิ่นได้รับ ‘Trust’ ที่ดีมากขึ้นด้วย

 

8. Product-Led Branding: สร้างแบรนด์จากผลิตภัณฑ์และ UX ที่ดี

 

‘Great Product is a Great Brand’ ไม่เคยเป็นจริงมากไปกว่าในช่วงหลายปีนี้ และสินค้าไม่ได้หมายถึงแค่ ‘สิ่งของหรือบริการ’ อย่างเดียว แต่รวมไปถึงประสบการณ์ทุกๆ อย่าง ทั้ง Physical Product และ Digital Product จากรายงานของ Adobe พบว่าบริษัทที่ลงทุนด้าน UX/UI อย่างจริงจัง สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 200-400% เพราะผู้ใช้งานตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายและสะดวกขึ้น

 

นอกจากนี้การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 40% (Design Management Institute Design Value Index) และ User Experience ที่ดีช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้ 30% (Gartner Customer Experience Study 2024) การรวบรวมความคิดเห็นลูกค้าอย่างสม่ำเสมอและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์จะช่วยสร้าง Customer Feedback Loop ที่นำไปสู่การสร้าง Loyalty และการเป็นลูกค้าตลอดช่วงชีวิตการใช้งานของเขา

 

9. AI Marketing Automation: สิ่งที่จับต้องในแง่เงินได้จริงไม่ใช่ Generative AI แต่เป็นการใช้ AI ลดงานซ้ำซ้อน

 

จริงอยู่ที่ปีที่ผ่านมา Generative AI คือปรากฏการณ์ แต่การนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างยอดขายตรงๆ ยังมีคำถามมากมายอยู่ แต่การนำ AI มาช่วยลดงานซ้ำๆ อย่างเช่นการทำ Automation คือของจริง ผลสำรวจของ Salesforce พบว่า 51% ของบริษัทที่ใช้ Marketing Automation สามารถลดต้นทุนการตลาดได้โดยเฉลี่ย 20% และเพิ่มยอดขายได้อีก 15% ภายในระยะเวลา 1 ปี

 

ความสามารถด้าน Automation ของ AI สามารถช่วยในการทำสิ่งซ้ำๆ อย่างเช่นการแจ้งเตือน การติดตามผลของการตลาด การทำ Personalization การช่วยเหลือลูกค้า การตอบแชตลูกค้าอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจได้ถึง 60% และสร้าง ROI สูงถึง 200% (McKinsey AI Impact Study 2024) ทำให้ทีมการตลาดมีเวลาโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์และงานสร้างสรรค์มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งนั่นก็ค่อยไปว่ากันในเรื่องของ Generative AI

 

10. Effective Simplicity: เรียบง่ายแต่ได้ผล

 

Nielsen เปิดเผยว่าผู้บริโภคใช้เวลาตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเพียง 5-7 วินาทีเท่านั้น (Nielsen Consumer Attention Study 2024) ทำให้ความชัดเจนและเข้าใจง่ายกลายเป็นปัจจัยสำคัญ แคมเปญที่เข้าใจง่ายแบบไม่ต้องตีความ มี Conversion Rate สูงกว่า 50% (Think with Google Marketing Insights 2024)

 

บางครั้งไอเดียที่ซับซ้อนและครีเอทีฟมากเกินไปอาจเป็นไอเดียที่ถูกชื่นชมในแวดวงของคนครีเอทีฟแต่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้าจริง การทดสอบกับผู้บริโภคจริงช่วยลดความเสี่ยงของแคมเปญได้มาก ดังนั้นการเลือกระหว่างความครีเอทีฟกับความเรียบง่ายจึงต้องคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก ถึงแม้ว่าสิ่งนี้อาจจะฟังดูขัดใจคนครีเอทีฟและคนในวงการ แต่เราต้องยอมรับว่าหลายๆ ครั้งเราก็ Advance มากเกินผู้บริโภคไปมาก

 

นอกจากเรื่องของไอเดียโฆษณาแล้ว เรื่องของการออกแบบ Application, Website หรือ Campaign Mechanic ต่างๆ ควรจะเรียบง่ายมากที่สุด เพราะทุกวันนี้หลายครั้งโปรแกรมเมอร์หรือดีไซเนอร์เองที่เห็นงานพัฒนามานับร้อยนับพันชิ้นอาจลืมไปว่าผู้บริโภคอาจไม่ได้ตามเทรนด์หรือซับซ้อนขนาดนั้น การกลับมาที่พื้นฐานสำคัญอย่างความง่ายๆ ไม่ต้องมาก อาจกลายเป็นเรื่องสำคัญในปีหน้า

 

สรุปแล้วการตลาดในปี 2025 จึงไม่ใช่แค่การไล่ตามเทคโนโลยี แต่เป็นการกลับไปให้ความสำคัญกับพื้นฐานที่สำคัญ นั่นคือความจริงใจ ความเข้าใจลูกค้า และการสร้างคุณค่าที่แท้จริง แบรนด์ที่ปรับตัวได้เร็วและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแน่นอน

 

ภาพ: baona / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising