×

‘เปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ’ จับตาความเคลื่อนไหวจีนปี 2023 ท่ามกลางวิกฤตและความไม่แน่นอน

03.01.2023
  • LOADING...
เปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ปี 2022 ถือเป็นปีแห่งความยุ่งเหยิงและท้าทายอย่างยิ่งสำหรับจีน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ค่อนข้างย่ำแย่จากการปิดประเทศ และการดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) ที่ส่งผลให้ประชาชนทั่วประเทศไม่พอใจในความเข้มงวดของมาตรการต่างๆ รวมถึงการล็อกดาวน์แบบปิดเมือง จนทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงในกรุงปักกิ่งและหลายเมืองใหญ่

 

ในปี 2023 จีนยังคงมุ่งหน้าไปบนเส้นทางแห่งความไม่แน่นอน โดยความโกลาหลที่เกิดจากการหันหลังให้กับนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างกะทันหันและไม่ได้เตรียมการมาก่อนของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กำลังลุกลามต่อเนื่องเข้าสู่ปีใหม่ และทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศต้องเผชิญกับคลื่นการระบาดของโควิดระลอกใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศสู่โลกภายนอกของจีนในรอบ 3 ปี พร้อมทั้งผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ เพื่อมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นความหวังสำคัญของประชาชนจำนวนมาก โดยหลายฝ่ายเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดสถานการณ์ของจีนอาจกลับมาเป็นปกติ เช่นเดียวกับนานาชาติ รวมถึงไทย ที่หันมาปรับตัวและเรียนรู้แนวทางการ ‘ใช้ชีวิตร่วมกับโควิด’

 

สุนทรพจน์ปีใหม่ของสียืนยันว่าความท้าทายและความยากลำบากในการรับมือโควิดของจีนในปีนี้จะยังคงอยู่ และสิ่งที่จำเป็นในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้คือ ความมุ่งมั่นและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชน

 

“ตอนนี้เราได้เข้าสู่ระยะใหม่ของการรับมือโควิด ซึ่งความท้าทายที่ยากยังคงอยู่ ทุกคนยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง และแสงแห่งความหวังก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว เรามาพยายามกันให้มากขึ้นเพื่อผ่านมันไปให้ได้ เพราะความพยายามและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหมายถึงชัยชนะ” 

 

ขณะที่บทบาทของปักกิ่งในเวทีโลก หลังจากที่สีได้ครองอำนาจผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 3 มีสัญญาณความต้องการฟื้นสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ส่วนความสัมพันธ์กับรัสเซียที่เคยเรียกว่าเป็น ‘มิตรภาพไร้ขีดจำกัด’ ก็ดูจะมีความซับซ้อนขึ้น

 

และนี่คือสิ่งที่น่าจับตามองสำหรับความเคลื่อนไหวของจีนในปี 2023

 

โควิดระบาดหนัก-ชาวจีนนับล้านเดินทางช่วงตรุษจีน

 

ภารกิจที่เร่งด่วนและน่าหวาดหวั่นที่สุดที่รัฐบาลปักกิ่งต้องเผชิญในช่วงปีใหม่คือ การจัดการกับผลกระทบและความวุ่นวายที่เกิดจากการถอยห่างจากนโยบาย Zero-COVID ท่ามกลางการระบาดของโควิดที่ทวีความรุนแรงจนอาจคร่าชีวิตประชาชนนับแสน และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสีและพรรคคอมมิวนิสต์

 

โดยการยกเลิกมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโควิดที่เข้มงวดอย่างกะทันหันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นำไปสู่การแพร่ระบาดที่รุนแรง และแทบไม่มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ระบบสาธารณสุขที่เปราะบางของจีนกำลังดิ้นรนเพื่อรับมือสถานการณ์ตึงเครียดนี้ โดยยาแก้ไข้และยาแก้หวัดเริ่มหายาก โรงพยาบาลอัดแน่นจนล้นด้วยจำนวนผู้ป่วย อีกทั้งแพทย์และพยาบาลต้องทุ่มเททำงานจนถึงขีดจำกัด และฌาปนสถานหลายแห่งกำลังประสบปัญหาในการเผาศพที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก

 

ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดสำหรับการระบาดของโควิดในจีนยังมาไม่ถึง แม้ว่ามหานครใหญ่บางแห่ง เช่น ปักกิ่ง อาจเผชิญกับจุดสูงสุดของการระบาดแล้ว แต่เมืองที่มีการพัฒนาน้อยและพื้นที่ห่างไกลในชนบทอันกว้างใหญ่ยังคงเสี่ยงต่อการมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น

 

โดยเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงในปลายเดือนนี้ และเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดสำหรับการรวมญาติของครอบครัวชาวจีน คาดว่าจะมีผู้คนหลายร้อยล้านคนที่เดินทางออกจากเมืองใหญ่กลับภูมิลำเนา และนำไวรัสไปแพร่ระบาดในพื้นที่ชนบทที่มีระบบสาธารณสุขเปราะบาง มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ และมีทรัพยากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ

 

ภาพที่น่ากลัวของการระบาดระลอกนี้เห็นได้จากงานวิจัยบางฉบับที่ประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดในจีนอาจพุ่งสูงจากปัจจุบันที่ราว 5,000 คน ไปแตะหลัก 1 ล้านคนได้ หากรัฐบาลปักกิ่งล้มเหลวในการเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นและให้ยาต้านไวรัสแก่ประชาชน

 

ซึ่งแม้รัฐบาลจีนจะพยายามรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิดในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยง แต่ยังมีจำนวนมากที่ลังเลจะเข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียง โดยการต่อสู้กับความลังเลใจในการรับวัคซีนจะต้องใช้เวลาและความพยายามและอดทนอย่างมาก ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ของประเทศเริ่มอ่อนแอลง

 

ความเครียดทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัว

 

ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบหนักจากมาตรการ Zero-COVID ที่เข้มงวดและไม่สอดคล้องกับแนวทางรับมือโควิดของประเทศอื่นๆ 

 

การล็อกดาวน์และการปิดพรมแดนตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานของจีนหยุดชะงัก ธุรกิจระหว่างประเทศเสียหายหนัก กระทบการค้าและการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ

 

ขณะที่การตัดสินใจเปลี่ยนท่าทีและกลับมาสู่แนวทางการอยู่ร่วมกับโควิด เชื่อว่าจะส่งผลในแง่บวกอย่างมาก ทั้งต่อเศรษฐกิจจีนและทั่วโลก

 

การเติบโตของจีนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาอุปสงค์จากตลาดจีน ในขณะที่จะมีการเดินทางและการผลิตระหว่างประเทศมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม อุปทานที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้ราคาพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก

 

ป๋อจ้วง (Bo Zhuang) นักวิเคราะห์อาวุโสของ Loomis, Sayles & Company บริษัทการลงทุนในบอสตัน มองว่า “ในระยะสั้นนั้นเศรษฐกิจจีนน่าจะประสบกับความโกลาหลมากกว่าที่จะเดินหน้า ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือจีนไม่พร้อมรับมือกับโควิด”

 

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Capital Economics คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะหดตัวลง 0.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ก่อนจะฟื้นตัวในไตรมาสที่สอง

 

ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวหลังจากเดือนมีนาคม โดยรายงานการวิจัยฉบับล่าสุดจากนักเศรษฐศาสตร์ของ HSBC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะหดตัว 0.5% ในไตรมาสแรก แต่ภาพรวมตลอดปีนี้จะเติบโต 5%

 

เปิดพรมแดนสู่โลกภายนอก

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนมากมาย แต่พลเมืองจีนก็กำลังเฉลิมฉลองต่อการเปิดพรมแดนบางส่วนอีกครั้ง หลังจากที่ยุติมาตรการกักตัวผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ และเริ่มฟื้นฟูการเดินทางออกนอกประเทศของชาวจีน

 

ขณะที่ชาวจีนบางส่วนโพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดีย แสดงความกังวลต่อการผ่อนคลายมาตรการป้องกันเข้มงวดต่างๆ อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการระบาดที่ยังรุนแรง แต่อีกหลายคนก็กำลังวางแผนเดินทางไปต่างประเทศอย่างกระตือรือร้น เว็บไซต์ท่องเที่ยวของจีนมีทราฟฟิกผู้เข้าชมพุ่งสูงอย่างมากภายในไม่กี่นาที หลังการประกาศเปิดพรมแดนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม

 

ด้านสำนักข่าว CNN รายงานคำสัมภาษณ์จากชาวจีนหลายคนในต่างประเทศ ซึ่งบอกว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะกลับไปจีน เนื่องจากการบังคับใช้มาตรการกักตัวเป็นเวลานาน

 

ทั้งนี้ บางประเทศเริ่มแสดงออกถึงการต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างอบอุ่น โดยสถานทูตและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวได้โพสต์คำเชิญถึงนักท่องเที่ยวจีนบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของจีน

 

ขณะที่มีหลายประเทศที่ยังระมัดระวังการเปิดรับนักเดินทางจากจีน โดยมีการประกาศใช้ข้อกำหนดให้ต้องตรวจเชื้อใหม่สำหรับผู้เดินทางจากจีน และดินแดนของจีนอย่างฮ่องกงและมาเก๊า

 

โดยทางการของประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการเกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่จากการระบาดที่รุนแรงในจีน แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจำนวนมากจะวิพากษ์วิจารณ์ข้อกำหนดการเดินทางดังกล่าวว่าไม่มีประสิทธิภาพในทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังอาจสร้างความตื่นตระหนกจากการเหยียดเชื้อชาติและปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น

 

ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกและรัสเซีย

 

การที่จีนตัดสินใจเปิดประเทศสู่โลกภายนอกอย่างเต็มตัว ทำให้หลายฝ่ายจับจ้องว่าจีนจะสามารถฟื้นฟูชื่อเสียงและความสัมพันธ์อันย่ำแย่กับหลายประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิดได้หรือไม่

 

ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของจีนกับชาติตะวันตกและหลายประเทศเพื่อนบ้านดิ่งลงอย่างมากจากต้นตอของโควิด การค้า การอ้างสิทธิครอบครองพื้นที่พิพาท และประวัติด้านสิทธิมนุษยชนของปักกิ่ง ตลอดจนการแสดงออกถึงความร่วมมือใกล้ชิดกับรัสเซีย ท่ามกลางการทำสงครามรุกรานยูเครนที่ถูกประณามจากทั่วโลก

 

ขณะที่ในการประชุมสุดยอด G20 ที่บาหลี และ APEC ในกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา สีได้ส่งสัญญาณความตั้งใจที่จะแก้ไขความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในการประชุมทวิภาคี

 

โดยสายตรงของการติดต่อสื่อสารระหว่างจีนกับหลายประเทศเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง ส่วนการแลกเปลี่ยนระดับสูงนั้นอยู่ในขั้นตอนที่กำลังดำเนินการ ซึ่งแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ, ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส, นายกรัฐมนตรีมาร์ก รุตเตอ ของเนเธอร์แลนด์ และนายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี ของอิตาลี ต่างมีแผนที่จะเดินทางเยือนปักกิ่งในปีนี้

 

อย่างไรก็ตาม สียังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความทะเยอทะยานที่จะต่อต้านการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ซึ่งชัดเจนว่ายังเป็นเรื่องยากที่สองมหาอำนาจจะสามารถจัดการกับความแตกต่าง และละทิ้งการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างกันได้

 

ในปีใหม่นี้คาดว่าความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตก อาจปะทุขึ้นอีกครั้งจากประเด็นไต้หวัน การกีดกันทางเทคโนโลยี รวมถึงการสนับสนุนของจีนที่มีต่อรัสเซีย ซึ่งสียังคงเน้นย้ำในระหว่างการประชุมทางไกลกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา

 

รายงานจากสำนักข่าว Xinhua ของทางการจีนระบุว่า ทั้งสีและปูตินต่างส่งข้อความแห่งความสามัคคี โดยสีกล่าวว่า จีนและรัสเซียควร “เสริมสร้างการประสานงานเชิงกลยุทธ์  และอัดฉีดเสถียรภาพสู่โลกนี้ให้มากขึ้น

 

“จีนพร้อมที่จะทำงานกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านลัทธิครองความเป็นใหญ่และการเมืองเชิงอำนาจ และคัดค้านลัทธิเอกภาพนิยม การกีดกันทางการค้า และการรังแกประเทศต่างๆ” สีกล่าว ขณะที่ปูตินเชิญสีให้ไปเยือนมอสโกในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้

 

ทั้งนี้ จีนยืนกรานปฏิเสธที่จะประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย หรือแม้กระทั่งกล่าวถึงเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันกลับประณามการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก และขยายประเด็นการพูดคุยของเครมลิน ที่กล่าวโทษสหรัฐฯ และ NATO ว่าเป็นต้นตอความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

 

แต่ในอีกทางหนึ่งสีก็แสดงท่าทีเห็นพ้องกับการต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครนระหว่างการพบปะกับผู้นำชาติตะวันตกที่ผ่านมา ในขณะที่สื่อทางการจีนก็พยายามไม่ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงการสนับสนุนรัสเซียระหว่างรายงานข่าวสงคราม ซึ่งช่วงหลายเดือนที่ผ่านมารัสเซียกำลังประสบความพ่ายแพ้ทางทหารต่อยูเครนในหลายพื้นที่

 

ขณะที่มีผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนที่เชื่อว่าจีนจะตีตัวออกห่างจากรัสเซีย โดยหลายคนมองว่าทั้งสองประเทศยังพึ่งพาอาศัยกันและความเป็นแนวร่วมทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเข้มแข็ง และมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในเรื่องการ ‘การจัดระเบียบโลกใหม่’

 

“สงครามสร้างความรำคาญให้กับจีนในปีที่ผ่านมา และส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจีนในยุโรป แต่ความเสียหายนั้นยังไม่มีนัยสำคัญพอที่จีนจะละทิ้งรัสเซีย” หยุนซัน ผู้อำนวยการโครงการจีนขององค์กร Stimson Center ในวอชิงตันกล่าว

 

ภาพ: Kevin Frayer / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising