×

One Piece’s Day: ชุดที่ 3

23.07.2020
  • LOADING...

 

ดอร์รียักษ์เขียวและโบรกี้ยักษ์แดง คืออดีตกัปตันกลุ่มโจรสลัดคนยักษ์ที่ออกอาละวาดไปทั่วท้องทะเลเมื่อ 100 ปีก่อน แต่ตัดสินใจยุติการเดินทางเพียงเพราะหาบทสรุปไม่ได้ว่า สัตว์ที่ล่ามาได้นั้น ของใครมีขนาดใหญ่กว่า

 

เลยต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการ ‘ประลอง’ ที่ไม่เคยมีคนชนะมาตลอด 73,466 ครั้ง บนเกาะ ‘ลิตเติลการ์เดน’ ที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีขนาดใหญ่โตผิดปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า ‘เกียรติยศและศักดิ์ศรี’ ที่พวกเขายึดมั่นและรักษาเอาไว้ จะมีก็แต่มนุษย์ตัวเล็กๆ เท่านั้นที่สงสัยขึ้นมาว่าพวกเขาต่อสู้กันยาวนานขนาดนี้เพื่ออะไร 

 

“มันคือความภูมิใจยังไงล่ะ เรื่องเหตุผลลืมไปนานแล้วล่ะ ทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตคนเรามันเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน พวกข้ามีอายุขัยยืนยาวกว่าพวกเจ้า จึงคาดหวังความตายอย่างสมศักดิ์ศรีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” 

 

กระทั่งการต่อสู้ครั้งที่ 73,467 โบรกี้ฝากรอยด้ามขวานเป็นทางยาว พร้อมเลือดของดอร์รีที่สาดกระเซ็นเป็นสาย คว้า ‘ชัยชนะ’ ครั้งแรกที่มาพร้อมกับ ‘เสียงหัวเราะ’ และ ‘น้ำตา’ ที่ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อยู่ 

 

เมื่อการประลองจบลง มิสเตอร์ทรีเฉลยความจริงว่า เขาวางระเบิดเอาไว้ในถังเหล้าของดอร์รีจนอวัยวะภายในเสียหาย และกล่าวเย้ยหยันโบรกี้ว่า ชัยชนะที่ได้รับมานั้น หาใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ 

 

แต่ในความเป็นจริง โบรกี้สัมผัสได้มาตั้งแต่ต้นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในใจเขาอยากเลื่อนการต่อสู้ออกไปก่อน เพียงแต่เมื่อเห็นดอร์รีถืออาวุธพร้อมสู้โดยไร้ข้ออ้างใดๆ สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็มีเพียงแค่การต่อสู้ให้สุดกำลัง เพื่อตอบรับศักดิ์ศรีแห่งนักรบของเพื่อนรักคนนี้เท่านั้นเอง

 

น้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันสั่นเครือของโบรกี้เลยกลายเป็นเสียงหัวเราะแห่งชัยชนะที่ขื่นขมและน่าเศร้าที่สุด เพียงเพราะ ‘มนุษย์’ ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ทำให้การต่อสู้ของสองยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีวิญญาณนักรบบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อน

 

“พวกเราสู้กันโดยยึดเอาศักดิ์ศรีของนักรบเอลูบาบูเป็นที่มั่น ถ้าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้ มันไม่เกินไปรึเทพเอลูบาบู ทำไมไม่ให้พวกเราตายในการต่อสู้”

 

เมื่อลูฟี่และกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางช่วยจัดการศัตรูที่มาขัดขวาง ในวันที่ยักษ์เขียวและยักษ์แดงส่งสหายตัวจิ๋วออกเดินทาง แม้ดาบและขวานอาวุธคู่กายจะหักลง แต่เมื่อสัญญาณภูเขาไฟระเบิดขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็ยังคงสู้ตัดสินกันต่อไป 

 

เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ ในฐานะ ‘เพื่อนรัก’ ไปจนกว่าความตายอันเป็นนิรันดร์จะมาพรากชีวิต

 

#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years 

 

 

ถ้าวัดกันที่ฝีมือและความรู้ทางการแพทย์ ด็อกเตอร์ฮิลรุกคือหมอกำมะลอผู้ศรัทธาในสัญลักษณ์หัวกะโหลกที่ไม่ควรมีใครฝากชีวิต แต่ถ้าวัดกันที่ ‘หัวใจ’ แห่งความปรารถนาดีที่มีให้กับคนไข้ เขามีหัวใจที่จริงแท้กว่าใครบนโลกใบนี้ 

 

เขามีความเชื่อที่ว่าเกิดเป็นหมอต้องรักษาคน ทุกคนมีสิทธิ์หายจากอาการป่วย กระทั่งกวางเรนเดียร์ที่ถูกขับไล่ออกจากฝูงเพราะมีจมูกสีน้ำเงิน แถมยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ก็ไม่มีข้อยกเว้น 

 

หมอกำมะลอคนนี้ไม่เคยมองคนไข้ด้วยสายตาประหลาด แถมยังมอบหมวกและตั้งชื่อให้เรนเดียร์ตัวน้อยว่า โทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์ รวมทั้งสอนเทคนิคทางการแพทย์ (ที่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร) ให้แบบไม่มีหวงวิชา 

 

“คนที่เป็นส่วนเกินของสังคมก็ต้องลำบากแบบนี้ล่ะ แต่อย่าไปเคียดแค้นมนุษย์เลยนะ ตอนนี้อาณาจักรกำลังป่วยอยู่ จิตใจของมนุษย์ตอนนี้กำลังไม่สบาย” 

 

ฮิลรุกยังตั้งหน้าตั้งตารักษาและทดลองครั้งใหญ่ที่จะมอบ ‘ความสุข’ ให้กับคนทั้งอาณาจักรต่อไป จนกระทั่งอาการป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หายของเขากำเริบ และล่วงรู้ไปถึงลูกชายตัวน้อย

 

ช็อปเปอร์พยายามเปิดตำราจนเจอเห็ดที่มี ‘หัวกะโหลก’ กำกับอยู่ แต่เขาจำได้ว่า ฮิลรุกบอกว่าศรัทธาในสิ่งนี้ กวางน้อยผู้ไร้เดียงสาเสี่ยงชีวิตออกตามหาเห็ดวิเศษนี้มามอบให้ฮิลรุกได้สำเร็จ 

 

“มีชีวิตอยู่ต่อไปนะด็อกเตอร์ ผมอยากจะเป็นหมอ ไม่รู้ว่าเรนเดียร์จะเป็นได้ไหม ช่วยสอนวิธีการเป็นหมอให้ด้วยนะ” 

 

แม้จะเป็นหมอกำมะลอ แต่เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือเห็ดพิษ แทนที่จะปฏิเสธ ฮิลรุกเอ่ยปากชมช็อปเปอร์ ยอมกินเห็ดพิษนั้นด้วยความเต็มใจ โผกอดด้วยความรัก และเอ่ยปากชมลูกชายคนนี้ด้วยความภูมิใจ

 

“เป็นได้สิช็อปเปอร์ เจ้านี่ช่างจิตใจอ่อนโยนเสียจริงๆ เจ้าจะต้องเป็นหมอที่เก่งได้แน่ ฉันขอรับรอง”

 

เขายอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาหัวใจอันแสนบริสุทธิ์ของช็อปเปอร์ไม่ให้เจ็บปวด เสียงหัวเราะที่เขามอบให้กับลูกรักในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต คือเสียงหัวเราะแห่งความปรารถนาที่แท้จริงของหมอกำมะลอที่มีความฝัน อยากให้ทุกคนบนโลกนี้มีความสุข

 

แม้ร่างกายเขาได้จากโลกนี้ไป แต่ผลการทดลองตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ได้สร้าง ‘หิมะสีชมพู’ ที่สวยงามโปรยปรายไปทั่วอาณาจักร และเยียวยาหัวใจของผู้คนที่แสนอับเฉาให้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง 

 

รวมทั้ง ‘จิตวิญญาณ’ ความเป็นหมอจริงแท้ยิ่งกว่าใคร ที่ถูกส่งต่อไปในหัวใจ และทำให้ ‘กวางเรนเดียร์จมูกน้ำเงิน’ เติบโตขึ้นเป็นหมอที่ดีตามความฝัน 

 

“ชื่อของฉันคือโทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์ หมอผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้เป็นผู้ตั้งให้กับฉัน”

 

#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years 

 

 

คำพูดอันแสนเจ็บปวดของนักรบผู้มีหัวใจรักอาณาจักรดรัมยิ่งกว่าใคร ใช้กำลังและความสามารถปกป้องประชาชน และราชวงศ์แห่งเมืองหิมะด้วยความจงรักภักดีมาตั้งแต่กษัตริย์รุ่นก่อน

 

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน อำนาจปกครองอาณาจักรตกเป็นของ ‘วาโปลู’ กษัตริย์องค์ต่อมาที่ปกครองแบบยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร ขอแค่ตัวเองปลอดภัยก็พอ ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ดอลตันก็ยังรับใช้วาโปลูด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด

 

ณ วันประชุมผู้นำโลกครั้งหนึ่ง วาโปลูถูกกษัตริย์เนเฟลตาลี คอบร้าแห่งอลาบาสตาต่อว่า เพราะไม่คิดให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกัน แทนที่จะถกเถียงกันด้วยเหตุผล วาโปลูเลือกเอาความโกรธไปลงที่วีวี่ เจ้าหญิงวัยเพียงสิบขวบแห่งอลาบาสตา และสร้างความโกรธเคืองให้กับเหล่าองครักษ์เป็นอย่างมาก

 

“ช่างเถอะ ฉันผิดเองแหละที่ไปชนเขาเข้า” 

 

วีวี่รู้ดีว่าในการประชุมเช่นนี้ ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามได้ตลอดเวลา ถึงแม้ในใจจะโกรธแค้น เจ็บปวด แต่เธอคิดถึงความปลอดภัยของอาณาจักร และไปแอบร้องไห้อยู่ด้านหลังเพื่อไม่ให้ใครรู้ 

 

“เวลายิ่งผ่านไป ช่องว่างระหว่างประชาชนกับพวกเรานับวันมีแต่จะเลวร้ายลง ที่อลาบาสตา เด็กผู้หญิงอายุแค่ 10 ขวบก็คิดถึงประเทศชาติของตัวเองแล้ว”

 

นอกจากนี้วาโปลูยังปกครองอาณาจักรด้วยการขับไล่หมอเก่งๆ ออกไปจากอาณาจักร เหลือเพียงหมอ 20 คนให้มาอยู่ในวัง ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ถ้าใครไม่เชื่อฟังหรือเห็นต่าง ก็จะหมดสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลไปทันที 

 

และใช้กลอุบายชั่วร้ายหลอกให้ด็อกเตอร์ฮิลรุก หมอกำมะลอ แต่อยากช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจขึ้นมาทำร้ายถึงในวัง ครั้งนั้นเป็นจุดสุดท้ายของความอดทน ดอลตันเลือกหยิบอาวุธที่เคยใช้ปกป้อง ลุกขึ้นมาสู้กับวาโปลูเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะพ่ายแพ้ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุก

 

“ฉันมองเห็นเส้นทางที่อาณาจักรนี้จะไปถึงแล้ว มันคือการล่มสลายยังไงล่ะ ไม่ว่าหมอของที่นี่จะเก่งกาจแค่ไหน ไม่ว่าจะค้นคว้าวิจัยยาต่อไปให้ตายอย่างไร ก็ไม่มียาที่จะช่วยรักษาคนบ้าได้หรอก” 

 

กระทั่งวันหนึ่งที่หนวดดำโจรสลัดผู้ชั่วร้ายบุกมาที่อาณาจักร เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้เข้มแข็งแทนที่จะยืนหยัดปกป้องประชาชน วาโปลูตัดสินใจพาทหารและหมอทั้งหมดหนีเอาตัวรอดออกจากอาณาจักร และไปใช้ชีวิตเยี่ยงโจรสลัดในท้องทะเล 

 

ระหว่างนั้นดอลตันและชาวเมืองค่อยๆ ฟื้นฟูอาณาจักรดรัมขึ้นมาใหม่ แต่เมื่อคลื่นลมสงบ วาโปลูลอยหน้าลอยตากลับมาแสดงอำนาจการปกครองที่ทอดทิ้งไปได้อย่างหน้าตาเฉย 

 

“เห็นแก่ว่าแกคือลูกชายของกษัตริย์องค์ก่อนที่ฉันจงรักภักดี จึงได้แต่คาดหวังว่าสักวันแกจะกลับตัวได้ ฉันจะไม่สนใจพวกแกอีกต่อไปแล้ว อาณาจักรที่กษัตริย์เป็นผู้ปกครองสูงสุด กลับหนีเอาตัวรอดยามตกอยู่ในภาวะวิกฤตก่อนใคร สมควรจะล่มสลายลงไปแล้ว”

 

ดอลตันเตรียมสู้ศึกเพื่อปกป้องอาณาจักรเต็มกำลัง และเป็นอีกครั้งที่กลุ่มวาโปลูใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบัง ทำให้ดอลตันต้องพ่ายแพ้อีกครั้งอย่างน่าเจ็บใจ หากแต่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เพราะมีลูฟี่และกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง (และโทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์ ว่าที่สมาชิกใหม่) มาช่วยด้วยอีกแรง  

 

“จะเป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าก็ไม่เกี่ยวอะไร ใครจะใหญ่โตแค่ไหน ต่ำต้อยแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวอะไร เพราะฉันคือโจรสลัด” 

 

ในช่วงเวลาที่วาโปลูถูกลูฟี่ซัดออกไปนอกเกาะ พร้อมธงที่มีกะโหลกไขว้กับดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์ชูขึ้นฟ้า อาณาจักรได้รับการสถาปนาขึ้นมาอีกครั้ง

 

เป็นอาณาจักรที่ไม่ต้องมีกษัตริย์เป็นผู้ถือครองอำนาจเพียงหนึ่ง แต่มี ‘นักรบ’ และ ‘ประชาชน’ ที่มีหัวใจอยากปกป้องและพัฒนาเป็นผู้ดูแลอาณาจักรนี้ร่วมกัน 

 

#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X